WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, March 15, 2011

10 เหตุผลที่คน กทม.ไม่เอาซุปเปอร์สกายวอล์ก

ที่มา ประชาไท

สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ประมวล 10 เหตุผลที่คนกรุงเทพฯ ไม่ควรเอาซุปเปอร์สกายวอล์ก ที่ใช้งบภาษีประชาชน 1.52 หมื่นล้าน มานำเสนอเพื่อให้ทราบร่วมกัน

ทางเดินเท้าลอยฟ้าเทวดา หรือ ซุปเปอร์สกายวอล์ก เป็นโครงการผลาญงบประมาณภาษีประชาชน 1.52 หมื่นล้านบาทล่าสุดของ กทม. สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำของคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ที่ตัดสินใจเชิงนโยบายใดๆ มิได้อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนหรือการรับฟังผู้มีส่วนได้เสียอย่างรอบด้านเสียก่อนๆ ที่จะดำเนินโครงการใด ๆ อีกทั้งระบบการตรวจสอบของสภาท้องถิ่น คือ สภา กทม. ก็อ่อนแอ เพราะเป็นกลุ่มพรรคการเมืองเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ผู้บริหาร กทม.ลำพองใจ คิดจะทำโครงการเมกกะโปรเจคถลุงเงินภาษีประชาชนอย่างไรก็ได้ อย่างไร้ธรรมาภิบาล และขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนใคร่ขอประมวลเหตุผลที่คนกรุงเทพฯไม่ควรเอาซุปเปอร์สกายวอล์ก 10 เหตุผล มาเพื่อทราบร่วมกัน ดังนี้

1) จะเป็นการส่งเสริมให้มีหาบเร่แผงลอยเพิ่มมากขึ้น เพราะโครงการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า กทม.ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาหาบเร่-แผงลอยอย่างชัดแจ้ง เพราะนักการเมืองท้องถิ่นหวังแต่คะแนนเสียงของการเลือกตั้งจากกลุ่มพ่อค้า-แม่ค้าเหล่านี้ จึงไม่กล้าแตะต้อง ทั้ง ๆ ที่การยึดเอาทางเท้าหรือฟุตบาทไปตั้งแผงค้าขาย ผิดกฎหมายรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 อย่างชัดแจ้ง แต่ กทม.กลับร่วมกับ บช.น.กระทำการอันเป็น “การละเมิดสิทธิการใช้ทางเท้า” ของประชาชนทุกคนที่มีสิทธิใช้ทางเท้าเพื่อการสัญจรอย่างสะดวกสบายอย่างเท่าเทียมกัน ทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก โดยการอนุญาตให้ผู้ค้าเหล่านั้นสามารถยึดที่สาธารณะมาเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลได้ โดยใช้คำสวยหรูว่า “ผ่อนผัน” เพื่อเลี่ยงกฎหมาย จนบัดนี้มีหาบเร่แผงลอยในพื้นที่กรุงเทพฯ มีจุดผ่อนผันกว่า 666 จุด จำนวนผู้ค้ากว่า 20,275 คน นอกจุดผ่อนผันมีอีกกว่า 670 จุด จำนวนผู้ค้ามีอีกกว่า 17,731 คน

ล่าสุด กทม. และ บช.น.เอาใจรัฐบาลตามนโยบายประชาวิวัฒน์เข้าไปอีกโดยเพิ่มจุดผ่อนผันเข้าไปอีก 280 จุด โดยที่ไม่สอบถามประชาชนคนใช้ทางเท้าส่วนใหญ่เลยว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร

2) จะทำให้ทางเท้าเดิมไม่ใช่ทางเท้าอีกต่อไป เพราะเป็นการสะท้อนว่า กทม.ล้มเหลวในการบริหารจัดการทางเท้า ปล่อยให้หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ นำทางเท้าไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานตน แสวงหากำไรและผลประโยชน์ส่วนตน เป็นที่ตั้งของตู้โทรศัพท์ เสาไฟฟ้า เสาป้ายจราจร ตู้ไปรษณีย์ ป้ายโฆษณาของทั้งหน่วยงานราชการและของเอกชน ที่จอดรถ ที่วางสินค้าของร้านค้าห้องแถว รวมถึงเป็นที่ตั้งของตู้ยามของตำรวจจราจรอย่างออกหน้าออกตา ในประเทศที่เจริญแล้วไม่มีตู้ยามจราจรที่ไหนใหญ่โต ติดแอร์ มีทีวี ตู้เย็นสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มที่เหมือนตู้ยามตำรวจจราจรใน กทม.เลย การเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันของ กทม. และ บช.น. จึงทำให้ทางเท้าใน กทม. มีแต่สิ่งที่รกรุงรังเต็มทางเท้าไปหมด นอกจากนั้นทางเท้าก็ไม่ราบเรียบ สวยงามน่าเดิน บางจุดเป็นหลุมเป็นบ่อตะแกรงท่อน้ำเสีย ทำให้คนหรือรถจักรยานล้อตกร่องมามากต่อมากแล้ว

3) ทำให้ กทม.เป็นเมืองแห่งอุดจาดทัศน์ (Visual Pollution) คนกรุงเทพฯเคยผิดพลาดต่อการต่อต้านรถไฟฟ้า BTS มาแล้วเพราะรู้ไม่เท่าทันนักการเมืองที่ชอบหว่านคำพูดแต่สิ่งดี ๆ ของรถไฟลอยฟ้า อีกทั้งคน กทม.ส่วนใหญ่ในอดีตไม่เคยเห็นเคยใช้รถไฟฟ้าระบบรางมาก่อน เพราะไม่เคยมีในประเทศไทย แต่พอเริ่มมีรถไฟฟ้าใต้ดินขึ้นมา ทำให้ทุกคนเปรียบเทียบและคิดได้ว่า การปล่อยให้มีรถไฟลอยฟ้าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะตลอดใต้โครงสร้างสถานีแต่ละสถานียาว 150 เมตร จะกลายเป็นอุโมงค์หรือถ้ำถาวร ที่อบอวลไปด้วยมลพิษ ควันพิษจากยานยนต์ทุกประเภทที่วิ่งสัญจร และติดปัญหาการจราจรอยู่ภายใต้สถานีรถไฟลอยฟ้า ซึ่งผู้คนที่เดินสัญจรไปมา พ่อค้าแม่ค้า เจ้าของห้องแถวร้านค้า ต่างต้องสูดดมควันพิษกันอย่างทั่วหน้ากันทุกคน โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนั้นโครงสร้างที่ปลูกสร้างคร่อมถนนที่ระโยงรยางค์ ขวักไขว่ลอยอยู่บนฟ้าจะปิดกั้นสายตา หรือมุมมองของการมองเห็นสิ่งที่สวยงามบนอากาศของเมืองไปอย่างถาวร

4) จะมีการหมกเม็ดทำให้มีการผลาญภาษีของประชาชนเพิ่มมากขึ้น นอกจากเงินงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างทั้ง 2 เฟสที่มาจากภาษีของประชาชนจำนวน 1.52 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยกิโลเมตรละ 300 ล้านบาทแล้ว ทั้งๆ ที่ราคาที่แท้จริงไม่ควรจะเกินกิโลเมตรละ 50 ล้านบาทเท่านั้น จะมีการหมกเม็ดเงินงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในอนาคตไว้อีกมากโดยไม่แจ้งประชาชน เช่น เงินในการเปลี่ยนบันไดขึ้นลงมาเป็นบันไดเลื่อนในอนาคตอันใกล้ หรือเปลี่ยนมาสร้างลิฟต์เสริมเพิ่มมากขึ้นมาแทนในบางจุดที่เป็นย่านที่มีคนขึ้นลงมาก เช่น ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น นอกจากนั้นจะต้องมีการตั้งงบประมาณก้อนใหม่ มาใช้ในการรื้อย้ายสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ สายเคเบิล และอื่น ๆ ขึ้นมาใช้พื้นที่ใต้โครงสร้างโครงการดังกล่าวอีก นอกจากนั้นยังอาจจะต้องว่าจ้างเจ้าหน้าที่เทศกิจเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนมาก พร้อมยานพาหนะ จักรยาน เพื่อคอยลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยตลอดเส้นทาง 50 กิโลเมตร เพราะเทศกิจเดิมที่มีอยู่ก็ดูแลทางเท้าและงานตามหน้าที่ทั่วไปมากมายอยู่แล้ว นอกจากนั้นยังต้องตั้งงบประมาณในการซ่อมบำรุง (Maintenances) ไว้ประจำปีอีกทุกๆ ปีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

5) จะเป็นการส่งเสริมให้มีการทำผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้นหลายหน่วยงาน/บริษัท เหตุเพราะโครงสร้างบางส่วนของซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมติดกับโครงสร้างของรถไฟฟ้า BTS และทางด่วนของการทางพิเศษฯ ซึ่งทั้งสองโครงการดังกล่าวกฎหมายกำหนดให้ต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อยู่แล้ว เมื่อโครงการซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมติดกับโครงสร้างดังกล่าว จึงเข้าข่ายเป็นโครงการประเภทเดียวกันกับโครงการนั้นๆ ด้วย เพราะเป็นระบบทางพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการทางพิเศษ หรือเข้าข่ายเป็นทางหลวงหรือถนน ซึ่งมีความหมายตามกฎหมายว่าด้วยทางหลวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2549 ซึ่งประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2552 กำหนดว่าต้องทำ EIA ด้วยเพราะมีพื้นที่กว่า 75,000 ตร.ม.และมีที่ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ในระยะทาง 2 กิโลเมตรจากโครงการก่อสร้าง และโครงการที่อนุญาตให้ซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมต่อก็จะต้องนำเอา EIA ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) แล้วนำกลับไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อเสนอ คชก.ใหม่ อีกทั้งยังมีการไปเชื่อมติดกับอาคารห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 โครงการดังกล่าว ก็จะถือว่าเป็น “อาคาร” ตามกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย ดังนั้นหากโครงการใดๆ ที่โครงการซุปเปอร์สกายวอล์กไปเชื่อมต่อรวมทั้ง กทม. ไม่ปรับปรุงหรือจัดทำ EIA ใหม่ให้แล้วเสร็จเสียก่อน ก็ย่อมเข้าข่ายละเมิดหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย

6) จะเป็นการนำสมบัติสาธารณะไปเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน การที่ซุปเปอร์สกายวอล์กจะถูกนำไปเชื่อมกับบริษัท ห้างร้าน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรืออาคารสถานที่ของเอกชนใดๆ นั้นจะถือว่าเป็นการนำเอาทรัพย์สินสาธารณะของประชาชนไปสร้างประโยชน์ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เทศบาล (กทม.) แม้จะอ้างว่าเอกชนเป็นคนลงทุนก่อสร้างก็ตาม เพราะเสา ตอม่อ โครงสร้างต่างๆ จะตั้งอยู่บนทางเท้า เกาะกลางถนน ซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หาใช่ของผู้ประกอบการเจ้าของอาคาร ห้างสรรพสินค้าของเอกชนรายใด รายหนึ่งได้ไม่ หากเอกชนรายใดเข้ามาร่วมดำเนินการกับรัฐหรือ กทม. ก็จะถือว่าเป็นตัวการร่วม มีความผิดเช่นเดียวกันกับผู้บริหารกรุงเทพมหานคร

7) จะทำให้ร้านค้าห้องแถวริมถนนตามแนวถนนทางเท้าลอยฟ้าล่มสลาย เพราะประชาชนส่วนหนึ่งจะขึ้นไปใช้บริการถนนทางเท้าลอยฟ้า จะไม่มีโอกาสลงมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการร้านค้าหรือห้องแถวด้านล่างริมทางเท้าปกติได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าเมื่ออุปสงค์หรือผู้บริโภคขาดหายหรือไม่มีโอกาสลงมาใช้บริการด้านล่างได้ โอกาสการค้าขายของร้านค้าขนาดเล็กขนาดย่อมก็จะล่มสลาย ขาดทุน ล้มหายตายจากเลิกกิจการไปในที่สุด นอกจากนั้น หาบเร่แผงลอยที่อยู่ด้านล่างริมฟุตบาทเดิม ก็จะไม่มีลูกค้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าของตนได้ ก็จะล้มหายเลิกกิจการตามไปด้วย หรืออาจะต้องย้ายไปหาทำเลใหม่ ๆ หรือตามลูกค้าขึ้นไปแอบขายบนทางเท้าลอยฟ้าเลยด้วยก็ได้ กทม.ก็จะแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก แก้ไขปัญหาไม่หมดไม่สิ้น แก้ปัญหาหนึ่ง ต้องไปพบผจญอีกปัญหาหนึ่งไม่มีที่สิ้นสุด

8) จะทำให้เกิดความเสี่ยงในการแก้ไขปัญหาอัคคีภัยมากขึ้น เพราะโครงสร้างของถนนทางเดินเท้าลอยฟ้าที่อยู่ต่ำลงมากว่าโครงสร้างรถไฟฟ้า BTS และทางด่วน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อรถกระเช้าลอยฟ้าดับเพลิงเดิมอยู่แล้ว แต่พอมาสร้างลดระดับลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับสะพานลอย จะเป็นอุปสรรคที่สำคัญยิ่งขึ้นต่อการปฏิบัติงานของรถกระเช้าลอยฟ้าเพื่อการดับเพลิง เมื่อเกิดอัคคีภัยขึ้นในอาคารสูงตามแนวเส้นทางถนนทางเท้าลอยฟ้าดังกล่าว แม้ถ้าจะสามารถปฏิบัติงานได้แต่ก็จะสร้างความยุ่งยาก และเพิ่มระยะเวลาของการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานดับเพลิงที่ต้องแข่งกับระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่สำคัญยิ่งต่อการช่วยเหลือชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน

9) จะเร่งทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองแห่งมลพิษเพิ่มมากขึ้น เพราะในปัจจุบันนี้คุณภาพอากาศและเสียงในพื้นที่ชั้นในกึ่งกลางของกรุงเทพมหานคร มีงานวิจัยของหลายสำนักวิจัยยืนยันชัดเจนแล้วพบสารก่อมะเร็งสำคัญกว่า 15 ชนิดกระจายอยู่ในอากาศของท้องถนนกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะสารเบนโซเอไพรีน ซึ่งมีศักยภาพก่อมะเร็งสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งระบบทางเดินหายใจ มะเร็งปอด และมะเร็งผิวหนัง นอกจากนั้นยังพบสารก่อมะเร็งพีเอเอช (PAHs) ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีหลายร้อยชนิด เกิดจากการสันดาปไม่สมบูรณ์จากไอเสียของยานยนต์ทุกประเภทควันพิษจากเชื้อเพลิงยานยนต์บนท้องถนนของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมวลมลพิษเหล่านี้ปกติจะล่องลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศแต่เมื่อมีโครงสร้างของรถไฟฟ้า สถานี ทางด่วน และทางเดินเท้าซุปเปอร์สกายวอล์กก็จะไปปิดกั้นการกระจายตัวเพื่อเจือจางลง ทำให้ภายใต้โครงสร้างของสิ่งก่อสร้างดังกล่าวอบอวลไปด้วยมลพิษหรือสารก่อมะเร็ง นอกจากมลพิษทางอากาศ ภายใต้โครงสร้างดังกล่าวจะมีปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียงที่เกินมาตรฐานที่ 70 เดซิเบล เอ ตามมาเพราะไปปิดกั้นทางเดินเสียง โดยเฉพาะในย่านที่มีการจราจรขวักไขว่ เช่น ถนนสีลม ถนนเพลินจิต ถนนสุขุมวิท ถนนรามคำแหง เป็นต้น

10) จะทำให้วินัยทางการเงินการคลังของกรุงเทพมหานครเสียหาย เพราะเป็นการเอาเงินในอนาคตของคน กทม.มาใช้พร้อมความเสี่ยง การที่ กทม.เอาสถานะนิติบุคคลของหน่วยงานไปการันตีการกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างๆ ให้กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทเอกชนทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หาใช่วิสาหกิจของกทม.ไม่ (ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 88/2541) อีกทั้งไม่มีผู้บริหารของกรุงเทพมหานครเป็นกรรมการรวมอยู่ด้วย และไม่มีกฎหมายเฉพาะรองรับเหมือนรัฐวิสาหกิจทั่วไป มีแต่เอกชนพรรคพวกของผู้บริหารของ กทม.หรือพรรคการเมืองของผู้ว่าฯมาเป็นกรรมการ หากบริษัทกรุงเทพธนาคมบริหารงานล้มเหลวผิดพลาด กทม.ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายดังกล่าวโดยตรงด้วย ดังนั้นการให้บริษัทกรุงเทพธนาคมมาร่วมทุนดำเนินการในครั้งนี้จึงเข้าข่าย พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 ซึ่งต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีก่อนเท่านั้น

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นนี้ จึงใคร่ขอให้กรุงเทพมหานครได้ทบทวนหรือยกเลิกการดำเนินการโครงการซุปเปอร์สกายวอล์กดังกล่าวเสีย เพราะจะได้ไม่คุ้มเสียตามที่กล่าวแล้ว แต่หากยังมุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวต่อไปมีหนทางเดียวเท่านั้นคือ “เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียเสียก่อนอย่างรอบด้าน” และต้องปฏิบัติตามกฎหมายทุกข้อที่กล่าวถึงข้างต้นก่อน แต่ทว่าหาก กทม.ยังเพิกเฉยต่อข้อเสนอหรือเหตุผลที่อรรถาธิบายมาแล้วนี้ ยังเดินหน้าโครงการดังกล่าวต่อไป กระบวนการยุติธรรมเท่านั้นที่จะใช้เป็นข้อยุติของปัญหาดังกล่าวได้