ที่มา บางกอกทูเดย์
แฉมิสเตอร์พีเคเอี่ยวน้ำมันปาล์ม
‘แม้ว’ ทวิตย้ำ ‘มาร์คแค่เด็กน้อย’
‘อ๋อย’ ให้คะแนน ‘มิ่ง’สอบผ่าน!
ซักฟอกวันแรก ฝ่ายค้านภายใต้การนำทีมของนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ สามารถสร้างสีสันและการยอมรับจากประชาชนได้ไม่เบา
การขอเปิดซักฟอกครั้งนี้เป็นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ และญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรมต.เป็นรายบุคคล จำนวน 9 คน ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ 2.นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง 3.นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ 4.นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ 5.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) 6.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว. มหาดไทย 7.นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม 8.นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรและสหกรณ์ 9.นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
นอกจากนี้นายกฯและรมต.ลำดับที่ 1-8 มีพฤติการณ์ส่อทุจริตต่อหน้าที่ ผู้เสนอญัตติทั้ง 122 คนยื่นเรื่องต่อประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 271 เพื่อส่งป.ป.ช. ถอด ถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งหน้าที่ด้วย ยกเว้นนายกษิต รมว.ต่างประเทศ
แม้ว่าด้วยเกมของรัฐบาล ผสานรับกับทางนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะให้มีการประชุมสภาเพื่อซักฟอกทั้งหมด 4 วัน วันสุดท้ายต้องเลิกก่อนเที่ยงคืน และลงมติวันที่ 5 ของการอภิปราย... แต่ดูจากการอภิปรายวันแรก ก็ต้องถือว่าฝ่ายค้านทำได้ไม่เลวเลย
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนคร ศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน เป็นคนกล่าวเปิดญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ บริหารราชการล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ส่อทุจริตต่อหน้าที่ ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้รัฐมนตรีในรัฐบาล และบุคคลแวดล้อมกระทำการทุจริตคอร์รัปชั่น แสวงหาประโยชน์จากการบริหารแผ่นดินอย่างกว้างขวาง
ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า นายอภิสิทธิ์จงใจใช้อำนาจหน้าที่ฝ่าฝืนรัฐ ธรรมนูญ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง สั่งการทหาร พร้อมอาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ใช้อำนาจปกปิดความผิดของตนเอง
ทำลายระบบราชการ แทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปล่อยให้มีแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายตำแหน่ง ไร้ประสิทธิภาพแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ดำเนินนโยบายต่างประเทศผิดพลาดล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน และล้มเหลวการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
จึงขอเสนอชื่อนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯคนต่อไป
จากนั้นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายถึงภาพรวมโดยใช้สไลด์แสดงข้อความ และข้อมูลเต็มจอแทนภาพตนเอง เน้นการดำเนินนโยบายเรื่องปาล์มน้ำมันของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจพังทั้งระบบ ส่งผลให้ราคาข้าวของแพงเป็นประวัติการณ์
การอนุมัตินำเข้าปาล์ม 30,000 ตัน ต้องผลิตได้ 60 ล้านขวด แต่เหตุใดจึงผลิตได้เพียง 44 ล้านขวด แล้ว 16 ล้านขวดหายไปไหน ตอบง่ายๆ ขาดประสบการณ์ หรือบริหารไม่เป็น หรือกำลังปล้นประชาชนถ้วนหน้าไม่เว้นเศรษฐีหรือยาจก
การใช้เงินอุดหนุนดีเซลลิตรละ 5 บาท วันนี้เงินกองทุนน้ำมันถึงวันที่ 14 มี.ค. 2554 เหลือไม่ถึง 4,800 ล้านบาท ใช้ได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ สิ้นเดือนมี.ค. เงินจะหมดในกระเป๋าแล้ว ขอย้ำไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นปัญหาน้ำมันดีเซลจะเข้าสู่ภาวะวิกฤตแน่นอน
สำหรับกรณีเข้าไปแแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ข้อหาแสดงภาษีอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ทำให้รัฐเสียประโยชน์ 6.8 หมื่นล้านบาท
ไม่รู้ว่าผู้สูบบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร ซองละ 80 บาท ต้องด่าโคตรพ่อโคตรแม่ใคร
นายกฯหมดเวลาก่อหนี้ หมดเวลาอยู่ต่อไป และหมดเวลาของรัฐบาลแล้ว
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงด้วยสไตล์ถนัดว่า ข้อมูลของนายมิ่งขวัญก็ยังเป็นข้อมูลที่มีการตกแต่ง ตัดต่อ ตัวเลขที่พูดก็ถูก แต่ทำไมไม่เอาตัวเลขเรื่องการส่งออก กับการท่องเที่ยวปี 2553 ที่สูงเป็นประวัติการณ์มาโชว์ด้วย
วันนี้ถ้าบ้านเมืองนี้กำลังจะล่มสลายจริงอย่างที่พูด ความน่าเชื่อถือของประเทศก็คงไม่มี แต่วันนี้สถาบันจัดอันดับเครดิตที่สากลให้การยอมรับสถานะของประเทศได้ปรับอันดับประเทศไทยดีขึ้น นายมิ่งขวัญทราบดีแต่ไม่พูด
ส่วนปัญหาการจัดเก็บภาษีบุหรี่ นายมิ่งขวัญทำธุรกิจมาก่อนน่าจะรู้ว่าไม่สามารถเอาตัวเลขการนำเข้าของร้านค้าปลอดภาษี กับผู้สั่งนำเข้าสินค้ามาขายปกติมาเทียบกันได้
ช่วงบ่ายน.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายกรณีทุจริตน้ำมันปาล์มว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจ เรียกร้องฝ่ายค้านตรวจสอบว่าใครกันแน่ที่ทุจริตและอยู่ในขบวนการสวาปาล์ม ตีท้ายครัวคนอื่น เข้าไปกินกันปากมัน ตะกละ มูมมาม กินอย่างสนุกสนาน เพราะการทุจริตครั้งนี้ฉ้อราษฎร์โดยไม่ต้องบังหลวง ไม่ต้องรอให้เก็บภาษีแล้วโกง สามารถดูดเงินในกระเป๋าคนไทย 67 ล้านคน 20 ล้านครอบครัว
แต่สมัยนายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ใช้วิธีสวาปาล์ม กักตุนน้ำมัน จนน้ำมันไม่เพียงพอในการอุปโภคบริโภค ราคาสูงขึ้นหาซื้อไม่ได้ เกิดจากคนกลุ่มน้อยไม่กี่คนสมคบคิดกันเอารัดเอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ มีนายกฯร่วมคิดสมคบปล้นประชาชน ถ้านายกฯต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ทำได้ง่ายนิดเดียว แต่ทำไมยังปล่อยปละละเลย ให้คนกลุ่มนี้มาตักตวงผลประโยชน์อย่างไร้ยางอาย จึงไม่สามารถไว้ใจนายกฯได้ต่อไป
น.อ.อนุดิษฐ์ มีการระบุว่าฝ่ายค้านได้ไปตรวจสอบผู้ประกอบการรายหนึ่งชื่อ มิสเตอร์พีเค พบว่า มี 2 สต๊อกที่สุราษฎร์ธานี และบางปะกงรวม 1.65 แสนตัน สามารถปล่อยออกมาได้เพื่อให้ราคาน้ำมันปาล์มลดลง พบว่ามีการปล่อยน้ำมันช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 6.3 หมื่นตัน ทั้งที่น้ำมันจะหมด ทั้งนี้วันที่ 30 ธ.ค. 2553 ราคาลิตรละ 49 บาท เดือนม.ค. 2554 ราคาลิตรละ 63.50 บาท
การปล่อยออกในช่วงที่น้ำมันหมด จึงเป็นการแสวงประโยชน์จากการบริหารสต๊อกของรัฐบาล ตรงนี้ทำไมไม่ให้ส่งไปบรรจุขวดเพื่อช่วยประชาชน ตนไม่ได้บอกว่ามิสเตอร์พีเคไปรับนายสุเทพเวลากลับสุราษฎร์ที่สนามบินหรือไม่ แต่เชื่อว่ารู้จักกันแน่ นักธุรกิจได้ทำกำไรเป็นพันๆ ล้าน จากการที่รมต.ที่รับผิดชอบดึงราคาให้สูงโดยไม่ยอมนำเข้าน้ำมันปาล์มบรรจุขวดเพื่อแก้ปัญหา
นอกจากนี้ตัวนายกฯต้องรับผิดชอบด้วย เพราะวันที่ 26 ธ.ค. 2553 พูดในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" ก็ส่งสัญญาณจะขึ้นราคา พ่อค้ารู้จึงเก็บหมดเพื่อให้ราคาสูงขึ้น สะท้อนว่านายกฯทำให้เกิดการกักตุน ความขาดแคลนยิ่งมากขึ้น ต่อมาเมื่อมีการนำเข้าราคาขายสูงถึง 47 บาท มีส่วนต่างกับของเดิม 9 บาท ตรงนี้ทำให้ผู้ประกอบการทำกำไรเป็นพันๆ ล้าน
ซึ่งการอภิปรายทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีการขอท้าพิสูจน์ว่าถ้ามีส่วนทุจริตเกี่ยวกับโรงงานสกัดน้ำมัน หรือโรงกลั่นน้ำมัน ขอให้ตั้งกรรมการสอบเลย ถ้ามีรายได้จากน้ำมันปาล์มแม้แต่บาทเดียวเข้ากระเป๋า จะเลิกเล่นการเมืองทันทีและตลอดชีวิตเลย
ส่วนที่มีการอ้างชื่อพีเคว่าเป็นผู้ซื้อน้ำมันปาล์มกว่า 1.5 แสนตันมากักตุนก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะได้คำนวณแล้วว่าถ้าจะต้องซื้อผลผลิตถึง 1.5 แสนตันต้องใช้เงินถึง 7 พันล้านบาท ซึ่งไม่คุ้มค่าในทางธุรกิจ
ตลอดการอภิปรายทั้งวัน ส.ส.ฝ่ายค้านลุกขึ้นประท้วงรัฐบาลหลายครั้ง โดยอ้างว่าได้รับแจ้งจากประชาชนหลายพื้นที่ว่าไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ได้ โดยนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นเจตนาจงใจของรัฐบาลปิดกั้นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้าน
ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า “ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ ตอบคุณมิ่งขวัญ(แสงสุวรรณ์) ใน สภาแล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชน ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน”
พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ด้วยว่า “สรุปขอแนะ นำว่าให้ยอมรับและบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้าและตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยว่า ผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเอง”
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็ได้โพสต์ ทวิตเตอร์ตอบโต้นายอภิสิทธิ์เช่นกันว่า รัฐบาลไทยรักไทยใช้หนี้ไอเอ็มเอฟ ที่ตกค้างมาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้หมดก่อนกำหนด หมาย ความว่าไทยรักไทยทำให้หนี้ที่ประชาธิปัตย์สร้างไว้ลดลงอย่างมากและรวดเร็ว นายอภิสิทธิ์ไปเอาตัวเลขหนี้สาธารณะมาจากไหน และยังตัดตอนประวัติศาสตร์ มาพูดลักไก่แบบไม่น่าเชื่อ
นายจาตุรนต์ ระบุอีกว่า เรื่องตัวเลขหนี้ สาธารณะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญ นายกฯกำลังพยายามลดความเสียหายเรื่องน้ำมันปาล์มด้วยการทำให้คนลืมประเด็นแท้จริง และลืมความเดือดร้อน แต่ประชาชนไม่ลืมความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ปัญหาน้ำมันปาล์มเกิดขึ้นมาเป็นเดือนๆ คนเดือดร้อนไปทั่ว โดยผู้รับผิดชอบขัดกันและนายกฯก็ทราบ
"ไทยรักไทยทำให้หนี้ที่มากเพราะประชาธิปัตย์ลดลง แต่ประชาธิปัตย์ได้ทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หนี้ตอนไหนมากกว่าตอนไหนจึงไม่ใช่ประเด็น จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย ต้องรวบรวมเรื่องใหญ่ๆ ที่อภิสิทธิ์ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้มาแสดงให้เห็นแล้วจะพบว่าอภิสิทธิ์สอบตกแน่ แต่ผมขอไม่ทำเอง เรื่องหนี้สาธารณะ คุณอภิสิทธิ์คิดผิดถนัดที่มาคุยว่าหนี้สมัยตัวเองน้อยกว่าสมัยคุณทักษิณ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นจุดแข็งที่สุดของคุณทักษิณและเป็นจุดอ่อนที่สุดของคุณอภิสิทธิ์" นายจาตุรนต์ ระบุ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในฐานะทีมวอร์รูมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ตั้งขึ้นที่ชั้น 6 อาคารที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งประกอบด้วยแกนนำพรรคและสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทยเป็นหลัก กล่าวประเมินผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันแรก เมื่อวันที่ 15 มีนาคมว่า
โดยทั่วไปผู้อภิปรายทำหน้าที่ตามที่ตั้งใจและวางแผนไว้คือสามารถนำเสนอข้อมูลให้คนได้เห็นตามที่มีข้อกล่าวหาและหลีกเลี่ยงการประท้วงในสภาได้ อีกทั้งการอภิปรายยังมีข้อกล่าวหาจำนวนมากและข้ามจากรัฐมนตรีไปถึงนายกรัฐมนตรีเร็วกว่าที่คาดไว้ และนายกรัฐมนตรียังชี้แจงได้ไม่ถึง 1 ใน 4 ของข้อกล่าวหาและยังไม่รู้ว่าจะตอบเมื่อไหร่
แต่ยิ่งปล่อยไว้ประเด็นก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นในขั้นนี้เข้าใจว่าน่าจะยังไม่ต้องปรับยุทธศาสตร์อะไร
ส่วนนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ทำหน้าที่ได้ดีมาก อาจพูดถึงรัฐมนตรีน้อย แต่ได้เลือกพูดประเด็นที่ถนัดและเป็นความเดือดร้อนของประชาชนและประเทศชาติได้ตรงประเด็นมาก คนอาจไม่ชินกับลีลา แต่ก็เข้มข้นเหมาะกับลักษณะของญัตติ แต่ทั้งนี้ต้องประเมินเมื่อนายมิ่งขวัญอภิปรายสรุปอีกที
วันแรกยังสนุกขนาดนี้ คงต้องติดตามดูวันนี้และวันต่อไป โดยเฉพาะวันสุดท้ายที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จองกฐินเอาไว้
ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะเหนื่อยขนาดไหน???