ที่มา thaifreenews
โดย bozo
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ผิดที่สื่อหรือสาระ
โดย กาหลิบ
การเข้าล้อมตรวจค้นและจับกุมแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยไปส่งให้ตำรวจ
ซึ่งเป็นฝีมือของการ์ด นปช. แดงทั้งแผ่นดินและเกิดขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตั้งสติ
และพิจารณาอย่างรอบคอบ
ขณะนี้แนวร่วมและเครือข่ายของฝ่ายประชาธิปไตยหลายกลุ่ม รู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก
เพราะรู้สึกไปว่าสาระในแนวทางหลักของ นปช.ฯ กับแนวทางของตนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คำถามว่าจะร่วมมือกันได้อย่างไรในอนาคตจึงเกิดขึ้น
ดีที่ผู้ถูกจับกุม (โดยการ์ด นปช.ฯ ไม่ใช่โดยตำรวจ)
คนหนึ่งเขียนบันทึกเผยแพร่ในเรื่องนี้ไว้โดยละเอียด เล่าให้ฟังหมดว่า
เตรียมเอกสารอะไรและอย่างไร ประสานกับหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ ในลักษณะไหน
และถูกตลบหลังโดยการ์ด ๗ คนใช้กำลังเข้าตรวจค้น
และยึดทรัพย์สินของตนอย่างไร
เอกสารที่เตรียมจ่ายแจกจำนวน ๑,๕๐๐ ชุดนี้
มีสาระเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ที่เป็นประเด็นหลักในปัจจุบัน เมื่อถึงพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ผู้ที่ขนเอกสารไปก็เตรียมแจก การ์ด นปช.ฯ คนหนึ่งเข้ามาห้ามปรามและเกิดถกเถียงกัน
จึงเกิดการนำตัวไป “ขออนุญาต” จากหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ
ซึ่งก็ได้รับ “อนุญาต” ทีมผู้แจกเอกสารจึงเดินออกมาเพื่อทำภารกิจของตนเองต่อ
ปรากฏว่า เดินได้ไม่นานก็ถูกล้อมกรอบโดยการ์ด นปช.ฯ จำนวน ๗ คน
กระเป๋าและถุงเอกสารถูกค้น เอกสารถูกยึด
และนักกิจกรรมมาตรา ๑๑๒ กลุ่มนี้ก็ถูกบังคับจับตัวไปพบตำรวจแถวร้านอาหารเมธาวลัย
เพื่อให้จับกุมตัว แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่จับ เพราะไม่เป็นความผิด
หากเราสรุปจะเรื่องนี้ว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐโดยตรงไม่เห็นความผิด
ในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒
แต่ นปช. แดงทั้งแผ่นดินกลับเห็น และแสดงพฤติกรรมหนักหนากว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เราคงจะเกิดโกรธเคืองกันเป็นการใหญ่ อย่างที่ผู้คนจำนวนมากกำลังรู้สึกอยู่
แต่ตัวผู้ถูกกระทำเองเขียนบันทึกยืนยันว่า
ใน นปช.ฯ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการจ่ายแจกเอกสาร
และไม่รู้ว่าสุดท้ายการใช้อำนาจกดขี่ราวกับคนของรัฐและระบอบเก่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดได้อย่างไร
ด้วยหัวใจที่เป็นธรรม เราก็ควรสงเคราะห์เรื่องนี้ว่าเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ
สาระในแนวทางของ นปช.ฯ และแนวปฏิวัติไม่ตรงกัน
หรือไม่ก็มีปัญหาการสื่อสารระหว่างคนใน นปช.ฯ ด้วยกัน
จนคนอื่นๆ ต้องลำบากเดือดร้อนไปด้วย แต่เราคงไม่มานั่งวิสัชนากันตรงนี้ว่าทางไหนถูกต้อง
เรากลับขอใช้โอกาสนี้เตือนเพื่อร่วมอุดมการณ์อีกครั้งว่า
อย่าดูถูกดูแคลนการยกระดับความคิดและจิตใจของมวลชนเป็นอันขาด
ภาวะตาสว่างและแนวทางปฏิวัติจะมากหรือน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากหลักฐานในสนามจริงบอกเราว่า
ผู้สนับสนุนสายนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่มั่นคง
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็น “นโยบาย” กำจัดกวาดล้างกันและกันอย่างจงใจ
หรือเป็นการ “เอาใจ” ผู้มีอำนาจไทยที่คอยมองอยู่
หรือ “ช่วยรักษาข้อตกลงระหว่างกันเพื่ออิสรภาพชั่วคราว”
และแม้จะเป็นการสื่อสารที่ขาดตกพร่องภายในขบวนการก็ตาม
สุดท้ายก็จะเกิดผลอย่างเดียวกันคือความร้าวฉาน
เรื่องนี้ผู้นำองค์กรทั้งที่คอยสั่งจากต่างประเทศ
และกลุ่มยืนรอเวลาพูดของตัวเองอยู่แถวๆ เวทีจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ
โดยไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นได้อีก
มวลชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่มาเพราะการจัดการของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ความดีข้อนี้คงไม่มีใครมาหักล้างได้
ยิ่งแกนนำ “ดารา” กลับมาขึ้นเวทีกันเป็นปึกเป็นปั้น
ก็ยิ่งเสริมสีสันอันเร้าใจให้เวทีชนิดที่ค่ายไหนๆ ก็ไม่อาจทาบรัศมีได้
ขอให้แกนนำ นปช.ฯ มีความมั่นใจในตัวเองและไม่ต้องสั่งใครไปทำอะไรเช่นนี้อีก
อย่าให้ความเกรงใจระบอบเก่าล้นทะลักออกมามากนัก
เพราะเพียงไปรับหลักการ “ปรองดอง” จากมือของเขา
เขาก็มีความสุขพอประมาณแล้ว ไม่ต้องไล่ราวีมวลชนของตนเองเป็นพัลวัน
อย่างไรเสียคุณก็ไม่ได้คะแนนรักใคร่เพิ่มเติมจากคนประเภทนี้
เอาเวลาไปห่วงตัวเองเถอะว่า จะถูกตลบหลังจาก “เขา” วันไหนและอย่างไร
มวลชนประชาธิปไตยส่วนใหญ่เขาไม่เลือกว่าเป็น นปช.ฯ แดงสยาม หรือแนวทางใด
เขาสดับตรับฟังทุกด้านและเขาก็ใช้ความคิดของตัวเอง
ถึงเวลานาทีอันเหมาะสมเขาจึงจะสำแดงท่าทีชัดเจนออกมา
และวันนั้นคือวันที่บ้านเมืองจะเปลี่ยน
ทำเวทีประชาธิปไตยให้กลายเป็นสมัชชาความรู้และทัศนะทางการเมืองให้เต็มสูบ
หยุดสกัดกั้นการแสวงหาแนวคิดและความรู้ของมวลชน
แล้วเราจะเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อเวลามาถึง.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/03/blog-post_16.html
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ผิดที่สื่อหรือสาระ
โดย กาหลิบ
การเข้าล้อมตรวจค้นและจับกุมแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยไปส่งให้ตำรวจ
ซึ่งเป็นฝีมือของการ์ด นปช. แดงทั้งแผ่นดินและเกิดขึ้น
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๔ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตั้งสติ
และพิจารณาอย่างรอบคอบ
ขณะนี้แนวร่วมและเครือข่ายของฝ่ายประชาธิปไตยหลายกลุ่ม รู้สึกโกรธเคืองอย่างมาก
เพราะรู้สึกไปว่าสาระในแนวทางหลักของ นปช.ฯ กับแนวทางของตนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
คำถามว่าจะร่วมมือกันได้อย่างไรในอนาคตจึงเกิดขึ้น
ดีที่ผู้ถูกจับกุม (โดยการ์ด นปช.ฯ ไม่ใช่โดยตำรวจ)
คนหนึ่งเขียนบันทึกเผยแพร่ในเรื่องนี้ไว้โดยละเอียด เล่าให้ฟังหมดว่า
เตรียมเอกสารอะไรและอย่างไร ประสานกับหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ ในลักษณะไหน
และถูกตลบหลังโดยการ์ด ๗ คนใช้กำลังเข้าตรวจค้น
และยึดทรัพย์สินของตนอย่างไร
เอกสารที่เตรียมจ่ายแจกจำนวน ๑,๕๐๐ ชุดนี้
มีสาระเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒
ที่เป็นประเด็นหลักในปัจจุบัน เมื่อถึงพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ผู้ที่ขนเอกสารไปก็เตรียมแจก การ์ด นปช.ฯ คนหนึ่งเข้ามาห้ามปรามและเกิดถกเถียงกัน
จึงเกิดการนำตัวไป “ขออนุญาต” จากหัวหน้าการ์ด นปช.ฯ
ซึ่งก็ได้รับ “อนุญาต” ทีมผู้แจกเอกสารจึงเดินออกมาเพื่อทำภารกิจของตนเองต่อ
ปรากฏว่า เดินได้ไม่นานก็ถูกล้อมกรอบโดยการ์ด นปช.ฯ จำนวน ๗ คน
กระเป๋าและถุงเอกสารถูกค้น เอกสารถูกยึด
และนักกิจกรรมมาตรา ๑๑๒ กลุ่มนี้ก็ถูกบังคับจับตัวไปพบตำรวจแถวร้านอาหารเมธาวลัย
เพื่อให้จับกุมตัว แต่สุดท้ายตำรวจก็ไม่จับ เพราะไม่เป็นความผิด
หากเราสรุปจะเรื่องนี้ว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐโดยตรงไม่เห็นความผิด
ในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒
แต่ นปช. แดงทั้งแผ่นดินกลับเห็น และแสดงพฤติกรรมหนักหนากว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เราคงจะเกิดโกรธเคืองกันเป็นการใหญ่ อย่างที่ผู้คนจำนวนมากกำลังรู้สึกอยู่
แต่ตัวผู้ถูกกระทำเองเขียนบันทึกยืนยันว่า
ใน นปช.ฯ มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการจ่ายแจกเอกสาร
และไม่รู้ว่าสุดท้ายการใช้อำนาจกดขี่ราวกับคนของรัฐและระบอบเก่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดได้อย่างไร
ด้วยหัวใจที่เป็นธรรม เราก็ควรสงเคราะห์เรื่องนี้ว่าเป็นไปได้ทั้งสองทางคือ
สาระในแนวทางของ นปช.ฯ และแนวปฏิวัติไม่ตรงกัน
หรือไม่ก็มีปัญหาการสื่อสารระหว่างคนใน นปช.ฯ ด้วยกัน
จนคนอื่นๆ ต้องลำบากเดือดร้อนไปด้วย แต่เราคงไม่มานั่งวิสัชนากันตรงนี้ว่าทางไหนถูกต้อง
เรากลับขอใช้โอกาสนี้เตือนเพื่อร่วมอุดมการณ์อีกครั้งว่า
อย่าดูถูกดูแคลนการยกระดับความคิดและจิตใจของมวลชนเป็นอันขาด
ภาวะตาสว่างและแนวทางปฏิวัติจะมากหรือน้อยเพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากหลักฐานในสนามจริงบอกเราว่า
ผู้สนับสนุนสายนี้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราที่มั่นคง
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็น “นโยบาย” กำจัดกวาดล้างกันและกันอย่างจงใจ
หรือเป็นการ “เอาใจ” ผู้มีอำนาจไทยที่คอยมองอยู่
หรือ “ช่วยรักษาข้อตกลงระหว่างกันเพื่ออิสรภาพชั่วคราว”
และแม้จะเป็นการสื่อสารที่ขาดตกพร่องภายในขบวนการก็ตาม
สุดท้ายก็จะเกิดผลอย่างเดียวกันคือความร้าวฉาน
เรื่องนี้ผู้นำองค์กรทั้งที่คอยสั่งจากต่างประเทศ
และกลุ่มยืนรอเวลาพูดของตัวเองอยู่แถวๆ เวทีจะต้องร่วมกันรับผิดชอบ
โดยไม่ปล่อยให้เหตุการณ์ในทำนองนี้เกิดขึ้นได้อีก
มวลชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่มาเพราะการจัดการของ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ความดีข้อนี้คงไม่มีใครมาหักล้างได้
ยิ่งแกนนำ “ดารา” กลับมาขึ้นเวทีกันเป็นปึกเป็นปั้น
ก็ยิ่งเสริมสีสันอันเร้าใจให้เวทีชนิดที่ค่ายไหนๆ ก็ไม่อาจทาบรัศมีได้
ขอให้แกนนำ นปช.ฯ มีความมั่นใจในตัวเองและไม่ต้องสั่งใครไปทำอะไรเช่นนี้อีก
อย่าให้ความเกรงใจระบอบเก่าล้นทะลักออกมามากนัก
เพราะเพียงไปรับหลักการ “ปรองดอง” จากมือของเขา
เขาก็มีความสุขพอประมาณแล้ว ไม่ต้องไล่ราวีมวลชนของตนเองเป็นพัลวัน
อย่างไรเสียคุณก็ไม่ได้คะแนนรักใคร่เพิ่มเติมจากคนประเภทนี้
เอาเวลาไปห่วงตัวเองเถอะว่า จะถูกตลบหลังจาก “เขา” วันไหนและอย่างไร
มวลชนประชาธิปไตยส่วนใหญ่เขาไม่เลือกว่าเป็น นปช.ฯ แดงสยาม หรือแนวทางใด
เขาสดับตรับฟังทุกด้านและเขาก็ใช้ความคิดของตัวเอง
ถึงเวลานาทีอันเหมาะสมเขาจึงจะสำแดงท่าทีชัดเจนออกมา
และวันนั้นคือวันที่บ้านเมืองจะเปลี่ยน
ทำเวทีประชาธิปไตยให้กลายเป็นสมัชชาความรู้และทัศนะทางการเมืองให้เต็มสูบ
หยุดสกัดกั้นการแสวงหาแนวคิดและความรู้ของมวลชน
แล้วเราจะเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อเวลามาถึง.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/03/blog-post_16.html