WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, July 19, 2011

มองไม่พ้นหัวแม่เท้าตัวเอง

ที่มา มติชน



โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

(ที่มา คอลัมน์ที่เห็นและเป็นไป หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 17 กรกฎาคม 2554)


ใน ภาพรวมประชาชนตัดสินนำการเมืองเดินกลับสู่ประชาธิปไตยอย่างงดงาม การได้รับเสียงเกินครึ่งของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นไปตามที่หลายฝ่ายปรารถนา

มันหมายถึงประชาชนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้อำนาจนอกระบบนำการไม่ได้รับเสียงข้างมากมาเป็นข้ออ้างในการแทรกแซง

มีความเชื่อว่า ชัยชนะของพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างท่วมท้น จะเป็นชัยชนะของประชาชนต่อกลไกของอำนาจนอกระบบ

ให้รู้ว่าประชาชนตื่นตัวทางการเมืองในระดับที่ทุกฝ่ายควรจะรู้ว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากขึ้นหากคิดจะต่อต้านกระแสประชาชน

แม้ว่าบางฝ่ายจะยังยืนยันว่า ชัยชนะเลือกตั้ง ไม่ใช่ชัยชนะทางการเมือง

ยังมีกลไกอำนาจมากมายที่จะแทรกแซงไม่ให้การเมืองเป็นไปตามการตัดสินใจของประชาชน

มีการวางแผนสกัดอำนาจของประชาชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอยู่ ในแต่ละจังหวะก้าวของการช่วงชิงอำนาจ

แต่คำยืนยันของฝ่ายที่ไม่มั่นใจในอำนาจการตัดสินของประชาชนนี้ คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเพียงการปลอบประโลมของผู้พ่ายแพ้

ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง

เมื่อประชาชนตัดสินใจท่วมท้นถึงเพียงนั้น ทุกคนย่อมรู้ดีว่าการเดินสวนกระแสจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในประเทศครั้งใหญ่หลวง

ไม่น่าเชื่อว่าคนที่สติยังดี ไม่เลอะเลือนสาหัส จะทำในสิ่งที่ส่อแววว่าจะนำความรุนแรงกลับมาสู่ประเทศ

ทว่าถึงวันนี้ ความเชื่อมั่นนั้นถูกทอนลงไปทีละน้อย

เรื่องราวที่น่าหวั่นวิตกส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้น

ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้งได้นำความหวาดวิตกนั้นกลับมาสู่ความรู้สึกประชาชน

หลังการไม่ประกาศรับรอง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่งของพรรคเพื่อไทย แม้จะมี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" อยู่ในเข่งเดียวกัน ซึ่งทำให้ดูเหมือนว่าไม่มีสองมาตรฐานอย่างที่เคยถูกโจมตี

แต่นั่นไม่ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะความเชื่อของคนทั่วไปเริ่มโน้มเอียงไปในทางที่บางฝ่ายยืนยัน

เรื่องราวของการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสกัดอำนาจที่มาจากการตัดสินใจของประชาชน กลายเป็นประเด็นพูดคุยกันในวงกว้าง

ความไม่เชื่อมั่นเกิดขึ้นอีกแล้ว พร้อมๆ กับความหดหู่ของกลุ่มที่ต่อสู้มายาวนาน

ชัยชนะท่วมท้นกลับคล้ายว่าไม่มีอยู่จริง อำนาจที่เหนือกว่าจะพลิกคว่ำให้ระเนนระนาดเสียเมื่อไรก็ได้

ที่เราเชื่อว่า "ปรองดอง" จะต้องเป็นวาระที่ดำเนินไป เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นทางออกให้ประเทศพ้นจากวิกฤตเสียที

หลัง กกต.แขวน "ว่าที่ ส.ส." ที่เคย "ใส่เสื้อแกนนำเสื้อแดง" แบบยกกระบิ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปคือ "สัญญาณปรองดอง" คิดว่าเริ่มมองเห็นที่ปลายอุโมงค์ กลับกลายเป็นดับสลาย

สำนึกที่จะช่วยกันประคับประคองให้ประเทศเดินหน้าไปได้ในความสงบสุข กลายเป็นสัญญาณที่จับไม่ติด

คำถามที่เกิดขึ้นทั่วไปตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาคือ "จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีกแล้วใช่ไหม"

และ "จะต้องเสียกันอีกเท่าไร จึงจะทำประเทศชาติกลับสู่ความสงบได้"

แล้ว "คิดกันไม่ออกหรือว่าทำกันอย่างนี้จะพากันไปไปทุกส่วน"

คำ ถามด้วยความห่วงใยชะตากรรมของประเทศเหล่านี้ กระจายออกไปในคนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีสำนึกไม่อยากเห็นประเทศสู่หายนะต่อหน้าต่อตา

ก่อนหน้านั้นมีคนบอกว่า การตัดสินของประชาชนจะเป็นคำตอบว่าประเทศจะก้าวสู่วิกฤตใหญ่อีกหรือไม่

ทว่า วันนี้ประชาชนตัดสินแล้ว แต่กลุ่มคนที่ไม่ยอมให้เสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเป็นผู้ชนะกลับคล้ายว่าจะมี อำนาจมากกว่าการตัดสินของประชาชน

คนกลุ่มนี้คือผู้ที่ควรจะตอบคำถามที่กลาดเกลื่อนอยู่ในแวดวงผู้ห่วงใยประเทศชาติ

และควรตอบให้ตรงคำถามว่า "นอกจากอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว เคยคิดถึงห่วงใยชะตากรรมของชาติและประชาชนในภาพรวมบ้างหรือไม่"