ที่มา Thai E-News
โดย คุณ วาทตะวัน สุพรรณเภสัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
18 กรกฎาคม 2552
ตอนที่ 1 ความฉิบหายของ กทม.
เมื่อประชาธิปัตย์ได้มีโอกาสเข้าบริหาร กทม. ท่านผู้อ่านคงเห็นฝีมือการบริหารกรุงเทพมหานครของพรรคนี้มาแล้ว ซึ่งความฉิบหายที่เกิดขึ้น เพราะฝีมือนายอภิรักษ์ฯอดีตผู้ว่า ก็มากมายมหาศาล
เฉพาะกรณีรถและเรือดับเพลิงนั้น งบประมาณของกรุงเทพมหานคร ที่ต้องเสียไปเพราะเรื่องอื้อฉาวนี้ เป็นตัวเงินสูงหลายพันล้านบาท
น่าเสียดายงบประมาณของ กทม. เป็นจำนวนมาก ที่นำไปจัดซื้อรถและเรือดับเพลิง แต่ก็เอามาใช้ไม่ได้ ต้องจอดแช่อยู่ที่ท่าเรือมานานหลายปี
มาถึงวันนี้ ก็กลายเป็นรถเก่า เพราะจอดตากแดดตากลมทะเล และไอน้ำเค็ม อยู่นานหลายปี จนสนิมกินแดงไปทั้งคันก็มี...
โถ เงินภาษีประชาชนทั้งนั้นนะครับ อย่าลืมเชียว!!!
ใช่แต่แค่นั้นนะ นายอภิรักษ์ฯ ยังมีเรื่องที่เป็นคดีความต่อไปอีก ก็คือเรื่องรถ บีทีเอส. ซึ่งอดีตปลัดกรุงเทพมหานคร คุณหญิง ณัฐนนท์ ทวีสิน เป็นผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีเอง แต่ไปติดตรงกระบวนการสอบสวนที่ยืดยาดเยิ่นเย้อ ของ ป.ป.ช.
สำหรับเรื่องนี้ความเสียหายก็มีจำนวนนับร้อยล้านบาทเช่นกัน
นายอภิรักษ์ฯ ผู้ต้องจำใจลาออกจากตำแหน่งไป เพราะคดีความเป็นชนักปักหลัง โดยมีเงาของตะรางพ่วงขาไปด้วย ถึงตอนนี้ไปรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายอภิสิทธิ์แล้ว ก็ยังมีข่าวคราวทุจริตที่โผล่ขึ้นมาใหม่ อีกจำนวนไม่น้อย ขอให้ติดตามผมต่อไปก็แล้วกัน รับรองว่ามีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟังกันอีก!
ตอนที่ 2 ทุจริตซื้อตู้น้ำหยอดเหรียญพ่วงโซลาร์เซล
พอประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล แต่ไม่ทันไร เรื่องตำบอนของการทุจริตก็โผล่ให้เห็นอีก ซึ่งเป็นข่าวเข้ามาแล้ว กล่าวคือ
รัฐบาลโลซกของนายอภิแสบฯ ได้กู้เงินมาเป็นจำนวนมหาศาล เอามาดำเนินโครงการ ซึ่งนายมาร์ค มุกควาย แย้มออกมาว่า มีกว่า 6,000 โครงการ แต่ละโครงการจะมีการดำเนินการที่รวดเร็ว และอาจลัดขั้นตอนของระเบียบต่างๆ เช่น เรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง นอกจากนั้นยังมีตัวอย่างโครงการชื่อแปลกๆ ที่โผล่ออกมาให้เห็น และน่าสนใจที่จะติดตาม เพื่อพวกเราจะได้ช่วยกันเอาผู้เกี่ยวข้องเข้าคุก เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ
ทางรัฐบาลของนายอภิแสบนั้น ได้มีการกล่าวอ้างว่า เศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบ จากการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลก จำเป็นต้องกู้เงินมาเพื่ออัดฉีดเข้าระบบ เพื่อให้เศรษฐกิจของชาติฟื้นตัว
จึงมีการออกพระราชกำหนด กู้เงิน 4 แสนล้าน และจะกู้ต่อๆไปอีก นัยว่าจะใช้เงินกู้ถึง 1.5 ล้าน/ล้านบาทภายในกำหนด 3 ปี (ตามอายุรัฐบาล)
ท่านผู้อ่านคงจำได้ว่า สมัยนายกฯทักษิณมีโครงการ SML ซึ่งดำเนินการได้ดี ชาวบ้านชอบกันมาก จนทำสืบต่อมาถึงรัฐบาลนายกฯสมัคร ก็มีพิธีกดปุ่มโอนเงินไปให้ชุมชนอย่างชัดเจน
แต่มาถึงยุคประชาธิปัตย์ ไอ้พวกนี้ไม่มีปัญญาคิดโครงการใหม่ๆ ดีๆ ให้ผู้คนได้เห็นหรือชื่นชมกัน เลยเปลี่ยนชื่อโครงการ SML เสียใหม่ เป็น “โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน” ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานชื่อเดียวกัน คือ สำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) สำนักงานนี้อยู่ที่ไหน หรือครับ?
ตอบได้ว่า อยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรีนั่นเอง แต่ยังไม่ทันไร ก็ปรากฏเรื่องราวที่โผล่หางแดงแจ๋ออกมา รายละเอียดพอสังเขปเป็นอย่างนี้ครับ
เมื่อวันที่ 12 ก.ค.นี้เอง ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ TPBS ซึ่งเมื่อประชาธิปัตย์เข้ามาสู่อำนาจใหม่ๆ ผมก็เห็นเป็นคอหอยลูกกระเดือกกับรัฐบาลดี แต่เกิดไปกินยาผิดอะไรไม่ทราบได้ ดันไปทำสกู๊ปข่าวความไม่ชอบมาพากล ของโครงการพิลึกกึกกือประชาธิปัตย์เข้า นั่นคือ
มีการซื้อตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญพลังงานแสงอาทิตย์ ไปแจกตามหมู่บ้านและชุมชนต่างๆ โดยที่ผู้นำชาวบ้านไม่ทราบ และไม่ส่วนร่วมรู้เห็นด้วย กำหนดมูลค่าไว้ที่ราคา 2.5- 3 แสนบาท
แต่เครื่องนี้มีราคาแพงเกินความจริง เพราะราคาตู้น้ำดื่มในท้องตลาด มีราคาไม่เกิน 4 หมื่นบาท บวกกับราคาแผงโซลาร์เซลล์ อีก 9 หมื่นบาท รวมกันแล้วไม่น่าเกิน 1.5 แสนบาท แต่กลับไปซื้อในราคา 2.5-3 แสนบาท และตามกระแสข่าวที่ได้รับมา ก็เป็นการจัดซื้อจากเอกชนเพียงรายเดียวเท่านั้น
สถานีโทรทัศน์ TPBS ได้สัมภาษณ์ผู้นำชุมชนเมืองใหม่ ต.เมืองเก่า อ.กบินทร์บุรี จว.ปราจีนบุรี คือ คุณอังคณา ชูกิตตินันท์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย เธอและลูกบ้านก็โวยวายเอาว่า ทางชุมชนไม่ได้ทำโครงการเสนอไป แต่กลับมีการจัดส่งตู้น้ำดื่ม และแผงโซลาร์เซลมาให้
ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็คือ เงินตามโครงการของชุมชุนที่สมาชิกทำแผนไว้ซื้อเมล็ดพันธ์ผัก และลูกสุกร ก็กลายมาเป็นตู้น้ำและแผงโซลาร์เซลที่แสนอัปลักษณ์นี้แทน
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มนิดหนึ่ง โครงการ SML เดิมนั้น หลักการที่สำคัญมีอยู่ว่า ชาวบ้านเขาต้องคิดโครงการของพวกเขาเอง ซึ่งต้องมีการประชุมชาวบ้านช่วยกันออกความคิดเห็น จะต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 70% ของประชาชนในชุมชน อีกทั้งโครงการที่ได้รับการคัดเลือกนั้น ต้องอยู่ในหลักการรองรับผู้ด้อยโอกาส ผู้ว่างงาน และอนุรักษ์ส่งเสริมหรือพัฒนาพลังงานทดแทน
แต่โครงการตู้น้ำนี้ กลับปรากฏชัด ว่า ไอ้พวกขี้โกงมันสุมหัวกัน เอาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ ซึ่งไม่อยู่ในองค์ประกอบที่จะเข้าร่วมโครงการได้ แต่จัดแจงเอาระบบโซลาร์เซลบวกพ่วงเข้าไปกับตู้น้ำ เพื่อให้อยู่ในองค์ประกอบของการอนุรักษ์หรือพัฒนาพลังงานทดแทน
ฮู้ย...มันช่างคิดกันจริงๆ! ชาวบ้านพูดกันในสกู๊ปข่าว TPBS ว่า โครงการนี้เป็นของ “ประชาธิปัตย์” พวกเขาพูดชัดเจน จะจะกันเลย ใครอยากดูผมทำลิงค์เอาไว้ให้แล้ว กรุณาคลิกเข้าไปที่ ลิงก์
ใช่แค่ชาวบ้านต่างจังหวัดไกลๆ ตามที่สถานีโทรทัศน์ TPBS เขาว่าเอาไว้เท่านั้น แม้แต่ชุมชนในกรุงเทพแท้ๆ ก็ดันมีโครงการต้มตุ๋น แหกตา มหาอัปรีย์อย่างนี้เหมือนกัน มีเป็นร้อยๆชุมชน ด้วยซ้ำไป!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ แค่โครงการตู้น้ำหยดเหรียญกับแผงโลซกนี้ เพียงโครงการเดียวก็เป็นหลักฐานชัดเจน ถึงการถลุงเงินที่รัฐบาลต้องไปกู้มา ไม่รู้ว่าเป็นจำนวนกี่สิบกี่ร้อยล้านบาทเข้าไปแล้ว แต่ที่น่าขนหัวลุก ก็คือ สำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) นั้นมีงบมากมายถึง 20,000 ล้านบาท และชุมชนทั้งหมดมีประมาณ 80,000 ชุมชน เฉลี่ยได้รับชุมชนละกว่า 2 แสนบาท
การดำเนินงานในลักษณะที่หาประโยชน์ชัดเจน และครอบคลุมพื้นที่ ทั้งเมืองหลวงและต่างจังหวัดอย่างนี้ ต้องมีการกระทำเป็นขบวนการอย่างแน่นอน เพราะอะไรหรือครับ?
คำเฉลยในรูปคำถามง่ายๆ ก็คือ ทำไมราษฎรในพื้นที่ต่างกัน ถึงดันเกิดจะอยากได้ตู้น้ำโซลาร์เซลมาพร้อมกัน เป็นร้อยๆ พันๆ ชุมชน ...หือม์!?
สำนักงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ของพรรคประชาธิปัตย์เอง โดยมีรองนายกรัฐมนตรี คนชื่อนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธานโครงการ จะมีส่วนรู้เห็นต่อการกระทำอย่างนี้หรือไม่? นั้น
ไม่ต้องใช้ “หัวกบาล” คิดให้เปลืองเวลา เอาแค่นิ้วก้อยตีนซ้าย...คิดก็ยังได้!
แค่โครงการเฮงซวยของประชาธิปัตย์นี้ เพียงโครงการเดียว ซึ่งอยู่ในความดูแลของสำนักงาน ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี Under the nose ใต้จมูกอภิสิทธิ์ ด้วยซ้ำไป ยังเลวร้าย ได้ถึงขนาดนี้... หรือจมูกนายมาร์คเป็นริดสีดวง!!?
ดังนั้น ถ้าหากมีการดำเนินงานลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ คือประมาณ 80,000 ชุมชน เฉลี่ยได้รับชุมชนละกว่า 2 แสนบาท เงินของชาติจะฉิบหายอย่างไร? และใครจะได้ประโยชน์เท่าไหร่? ท่านผู้อ่านลองคูณกันเอาเอง ก็แล้วกัน!
ฉะนั้น ผมจะไม่แปลกใจเลย หากมีชาวบ้านกลุ่มไหนเกิดอาการของขึ้น เพราะงบประมาณที่พวกเขาจะเอามาพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง ต้องถูกคดโกง ล้างผลาญจนหดหายไปอย่างไร้ประโยชน์ เกิดอดรนทนไม่ไหว ชวนกันไปชุมนุมร้องตะโกนด่าหน้าที่ทำเนียบรัฐบาล หรือที่ทำการพวกดักดาน ว่า
“ไอ้พวกขี้โกง ...ไอ้พวกขี้ฉ้อ ...มีงจะแดกกันให้หมดประเทศหรือไงวะ!!!?”
พวกที่อยู่ในทำเนียบ หรือสมาชิกพรรค จะพาลไปโกรธเขาไม่ได้นะจ๊ะ เพราะพฤติกรรมของพวกแกนั้น ประชาชนคนในบ้านเมืองนี้ เขา “รับกันไม่ได้” หรอกจ้ะ!
ตอนที่ 3 กู้เงินมาถลุงเล่น ประชาชนก้มหน้ารับภาระ จ่ายทั้งต้นทั้งดอก
รัฐบาลนี้ภูมิอกภูมิใจว่า ผู้คนแห่งซื้อพันธบัตร หรือ BOND “ไทยเข้มแข็ง” (น่าจะเรียกว่า “ไทยขลุกขลัก” มากกว่า เพราะยังต้องไปกู้เงินเขามาใช้จ่าย และดันจ่าย อย่างคดโกงด้วย!)
ซึ่งคนที่อยู่ในวงการเงินพูดกันว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรายังอยู่ในยุคดอกเบี้ยต่ำ คนที่มีเงินเหลือเก็บก็จะแสวงหาแหล่งฝากเงิน ที่มีความมั่นคง และให้ผลตอบแทนดีด้วยกันทั้งนั้น ยกตัวอย่างให้ก็ได้
ข้าราชการตำรวจนั้น นิยมฝากเงินไว้ในสหกรณ์ออมทรัพย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งให้ดอกเบี้ยเงินฝากกับสมาชิก 3.5% ต่อปีโดย แบ่งจ่ายดอกเบี้ย 6 เดือน/ครั้ง แต่ตำรวจผู้ฝาก ไม่เสียต้องเสียภาษีเงินฝาก
สำหรับพันธบัตรของรัฐบาลนั้น ฝากระยะยาว ดอกเบี้ย 3, 4 และ 5% เริ่มแต่ปีที่ 1-3 ทยอยขึ้น แต่ก็ต้องเสียภาษีเอง อีกทั้งระยะเวลาไถ่ถอนพันธบัตรนั้น ก็ยืดยาวหลายปี หากมีความจำเป็นต้องไปขายก่อนเวลา ก็ไม่แคล้วต้องขาดทุน
ที่สำคัญมาก และรัฐบาลไม่เคยพูดถึง คือ ถ้ารัฐบาลนี้กู้เงิน 1 ล้าน/ล้าน บาท (แผนการกู้เต็ม 1.5 ล้าน/ล้าน) ก็จะเสียดอกเบี้ยและค่าการจัดการ (Management Fee) สูงถึงปีละ 50,000 ล้านบาท
นี่ยังไม่รวมหนี้เก่า และภาระการผ่อนชำระเงินต้น แต่รัฐบาลจะไถ่ถอนพันธบัตร และจ่ายดอกเบี้ยครบถ้วน ให้กับประชาชนผู้ซื้อพันธบัตรตามกำหนดระยะเวลา หรือไม่นั้น? ยังเป็นเรื่องอนาคต
เพราะ... Government Bond ที่ออกไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เงินก้อนใหญ่ที่กู้ประชาชนมา กลับถูกถลุงกันอย่างที่เห็นอย่างนี้
อยากจะเล่าให้ท่านฟังว่า แม้แต่รัฐบาลประเทศใหญ่ๆ เอง ก็เคยชำระเงินคืนให้ผู้ซื้อพันธบัตรไม่ได้ มีให้เห็นอย่าง รัสเซีย, อาร์เจนติน่า เป็นต้น จนประชาชนที่ไม่ได้รับเงินคืน ต้องเอาพันธบัตรไปแปะข้างฝา เอาไว้เตือนใจตนด้วยความเจ็บช้ำ
ใครไม่เชื่อผม ลองไปค้นคว้าดูได้ และเรื่องอย่างนี้ ก็ไม่มีใครสามารถรับประกันว่า จะไม่มีวันเกิดขึ้นในเมืองไทยของเรา?
การที่กู้เงินมาเป็นจำนวนมากอย่างนี้ ผมได้ยินผู้ดำเนินรายการวิทยุหลายแห่ง พูดแสดงความห่วงใยในทำนองเดียวกันว่า รัฐบาลจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายดอกเบี้ยสูงๆ และจ่ายคืนเงินต้น
แต่ผมอยากส่งสัญญาณ เพิ่มเติมอีกว่า ในขณะนี้ มีคำเตือนออกมาแล้ว จากชาติเศรษฐกิจใหญ่อย่างญี่ปุ่น ที่ออกมาบอกว่า หากเศรษฐกิจจะพลิกฟื้น ก็อย่าหวังว่า เมื่อฟื้นแล้ว เศรษฐกิจจะดีเหมือนอย่างที่เคยเป็น
เพราะฉะนั้น ใครที่คาดหวังว่า เศรษฐกิจจะกลับมาสดใส ดีเหมือนยุคทักษิณนั้น คงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งได้รัฐบาลประชาธิปัตย์มาบริหารบ้านเมืองแบบสะเปะสะปะ มีเรื่องคดโกงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างนี้... ยิ่งมืดมนอนธการ...หนักเข้าไปอีก!
บทส่งท้าย
ท่านผู้อ่าน จะสังเกตกันบ้างหรือไม่ครับว่า รัฐบาลนี้มีวิธีหารายได้ ด้วยการกู้เงินมาใช้จ่าย โดยมีโครงการ 6,000 โครงการเป็นตัวรองรับ ซึ่งประชาชนคนไทยเราทุกคน มีภาระจะต้องเสียภาษีไปชำระทั้งเงินต้น และค่าดอกเบี้ยดอกหอย
แต่การบริหารจัดการของพวกเขานั้น นอกจากไม่ได้ฉายแววแห่งความสำเร็จแล้ว ยังมีการทุจริตคดโกงเงินของหลวง แบบปล้นกลางแดดเห็นๆ น่าเจ็บใจนัก!
โครงการอัปรีย์ ควบการคดโกงไม่เคยมีคำว่า “พอเพียง” ที่นำสู่สาธารณะโดยโทรทัศน์ TPBS นั้น เป็นแค่โครงการแรก แต่ก็ทำให้ผู้คนในประเทศ ได้เห็นการโกงสุดแสบแบบซึ่งๆ หน้า
แค่นี้ ความเชื่อถือในรัฐบาลดักดาน ก็หมดไปแล้ว!
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ... ไอ้ 6 พันกว่าโครงการที่หลงเหลืออยู่นั้น มันจะมีอีกสักกี่โครงการ ที่ต้มตุ๋น แหกตา มหาอัปรีย์ เหมือนกับโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน ที่หลอกขายตู้น้ำหยอดเหรียญ ควบกับแผงโซลาร์เซล ที่หาประโยชน์ไม่ได้ เพราะแม้แต่ผลิตกระแสไฟจ่ายให้ตู้ก็ยังไม่พอ
และตอนนี้ ที่น่าขันเป็นที่สุด คือ... ชาวบ้านเอาแผงโซลาร์เซล เป็นที่ตากปลาแห้งกันแล้ว!
ผมมีความรู้สึกว่า รัฐบาลโลซกของนายมาร์ค มุกควาย เอาโครงการที่อ้างจะต้องใช้เงินที่กู้มา ด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลขายให้กับประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น ถ้าโครงการเหล่านี้ ดันมีสภาพอย่างเดียวกับตู้ผลิตน้ำดื่ม ก็คงเปรียบโครงการเหล่านี้ได้ว่า มันไม่ต่างอะไรจาก “โครงการ...ขยะ!” .......
..... ท่านทั้งหลาย คงเห็นกันแล้วว่า ไอ้พวกที่มันไม่ได้สัมผัสความเป็นผู้บริหารบ้านเมืองมานานๆ นั้น
พวกมัน “หิวโหย”...กันแค่ไหน!?