ที่มา ข่าวสด
สัมภาษณ์พิเศษ
ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงมหาดไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มคลองหลอด ว่าเพราะเป็นเด็กเส้นของ 'เนวิน ชิดชอบ' เบอร์ 1 พรรคภูมิใจไทย ทั้งที่มีอาวุโสอยู่ลำดับท้ายสุด (อันดับ11) อายุราชการเหลืออยู่ถึง 5 ปี ก่อนจะเกษียณราชการในปี 2558 อีกทั้งเคยเป็นรองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ ฐานทางการเมืองหลักของตระกูล'ชิดชอบ'
'วิเชียร ชวลิต' เปิดใจชี้แจงข้อกล่าวหาต่างๆ พร้อมกับเปิดเผยถึงนโยบายการทำงาน
แนวทางของกระทรวงต่อจากนี้
ต้องดูว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน งานนโยบาย กระทรวง มีอะไรที่ยังไม่ขับเคลื่อน เหมือนว่าต้องสั่งแล้วถึงทำ กลายเป็นงานตามคำสั่ง อย่างนี้เป็นอันตรายต่อระบบราชการ เพราะงานกระทรวงมหาดไทยหลากหลายมาก ถ้าคนทำงานไม่มีความคิดทำให้งานสำเร็จด้วยตัวเอง งานคงติดขัดและเป็นอุปสรรคเยอะ อย่างบุคลากรระดับคีย์แมนที่สำคัญๆ ในระดับผอ.กอง ผอ.สำนัก สำคัญมาก
อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วง ก็คือระบบงานของกระทรวงกับกรมต่างๆ บางจุดอาจห่างเหินกันไป เพราะ 2-3 ปีที่ผ่านมาเปลี่ยนผู้บริหารเยอะ ต้องจัดระบบให้แข็งแรงกว่านี้
ข้าราชการนิ่งเพราะการเมืองไม่นิ่ง
เป็นบางเรื่องเท่านั้นที่กระทบกับการเมือง แต่เรื่องพื้นฐานอย่างเช่น โครงการงบบูรณาการประจำจังหวัด อันนี้การเมืองไม่ได้อะไรมาก เป็นกลไกที่ต้องติดตามขับเคลื่อน ไม่ต้องอาศัยทิศทางทางการเมือง เป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยตรงอยู่แล้ว
ไม่ทำงานเพราะขาดกำลังใจ
ผมก็ไม่ได้เติบโตด้วยความสำเร็จมาตลอด วันนี้ที่ได้เป็นปลัดกระทรวง ในช่วง หนึ่งอาจเสียใจว่าเติบโตช้า แต่ต้องถามตัวเองว่าอยากทำอยู่ไหม อย่างนายอำเภอ 800 กว่าตำแหน่ง คงไม่มีใครสิ้นหวังว่าไม่ได้เป็นผู้ว่าฯแล้วไม่ทำงาน หรือถึงมีก็น้อย เขามีอุดมการณ์ของเขา มีมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ต้องช่วยให้มีโอกาสขับเคลื่อนองค์กร
ตอนผมเป็นนายอำเภอก็อยากเติบโตเร็ว มันก็ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ทำงานเลย
หลายคนงานไม่ทำเอาแต่วิ่งเต้น
ส่วนน้อย ไม่ใช่ทั้งหมด คนส่วนใหญ่ยังมีความสุข เป็นนายอำเภอก็มีความสุขได้ เป็นปลัดจังหวัด เป็นรองผู้ว่าฯ ก็มีความสุขที่ได้ทำงาน
การเมืองมีอิทธิพลแต่งตั้งโยกย้าย
แน่นอน แต่ไม่ใช่เรื่องต้องมาโทษกัน เมื่อเขียนกฎหมายวางระบบโครงสร้างให้รัฐบาลโดยรัฐมนตรีไปดูแลกระทรวงต่างๆ และมีหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายให้สำเร็จ คนขับเคลื่อนก็คือข้าราชการ ดังนั้นถ้าขับเคลื่อน ไม่ได้ ติดขัดตรงไหนก็แก้ตรงนั้น ก็ย้ายข้าราชการ เขาออกแบบมาอย่างนี้
แต่ถ้าออกแบบว่าการเมืองไม่เกี่ยวกับข้าราชการ มีหน้าที่กำหนดนโยบายเพียวๆ แล้วเป็นหน้าที่ของฝ่ายประจำต้องทำให้สำเร็จ อย่างนี้ก็ไม่ยุ่ง แต่วันนี้สภาพโดยกลไกมันยุ่ง ปลัดกระทรวงบอกว่าการเมืองไม่ควรยุ่ง อ้าว ก็การเมืองเป็นคนตั้งทั้งนั้น รัฐมนตรีเป็นคนเสนอครม. ครม.ก็การเมืองหมด เพราะฉะนั้นมาบอกว่าปลัดกระทรวงกับการเมืองแยกกันโดยเด็ดขาด มันแยกกันได้หรือไม่
นี่คือระบบที่ปฏิเสธไม่ได้
เมื่อแยกกันไม่ได้จึงต้องตอบสนองเรื่องนอกนโยบาย
คนที่เติบโตมาจากระบบราชการ ทุกคนมีจิตวิญญาณ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เอาอะไรมาสวมแล้วก็เต้นไปตามหุ่นเชิด มันเป็นไปไม่ได้ ทั้งผมและคนอื่นๆ ที่เติบโตมาเป็นข้าราชการระดับสูงไม่ใช่ว่าสมองโล่ง ว่างเปล่า จับมาตั้งแล้วก็ไขลาน มันเป็นไปไม่ได้ เขาก็มีจิตวิญญาณในการทำงาน มีความมุ่งหวังตั้งใจ
ถามว่าผมมีอุดมการณ์ไหม ผมก็ต้องมี ไม่งั้นจะเติบโตมาทุกวันนี้ได้ยังไง เพียงแต่คำว่าการเมือง ก็คือการเมืองในเชิงนโยบายที่เขากำหนด แล้วข้าราชการประจำจะสนองได้ขนาดไหน ไม่ใช่ว่าจะมาสนองว่า ทำยังไงพรรคนี้จะได้เสียงกี่เสียง มันนอกระบบ มันก็มีขอบข่าย มีระบบตรวจสอบควบคุมอยู่ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ปลัดกระทรวงจะไปทำอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ มันไม่ได้
ผมอยากให้พิสูจน์กันว่าเราทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติมากน้อยขนาดไหน มากกว่ามากล่าวหากันว่าความใกล้ชิดทางการเมืองแล้วจะทำงานแต่การเมือง ใครที่รู้จักผมพอจะรู้ว่าทำงานอย่างไร ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาอยู่บุรีรัมย์แล้วเป็นปลัดกระทรวง ไปดูประวัติได้ เราทำงานร่วมกันมารู้ฝีไม้ลายมือกันดี
แต่ยังสลัดคำว่า'เด็กเนวิน'ไม่ได้
ทุกคนมีสิทธิ์กล่าวหา แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้จัก คุณเนวิน ชิดชอบ ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยก็รู้จักกันทั้งนั้น การกล่าวหาว่าใครเป็นเด็กคนนั้นคนนี้ก็ทำได้ แต่อยากให้ทุกคนเชื่อว่าตัวตนของนายวิเชียรมี ตัวตนของงานก็มี ไม่ใช่อยู่ที่ว่าเป็นเด็กคนนั้นคนนี้
ส่วนที่โจมตีว่าผมเป็นรุ่นพี่รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย ขอยืนยันว่า ตอนเรียนผมไม่รู้ว่าคุณศักดิ์สยามจะมาเรียนต่อจากผม แล้วก็ไม่รู้จักกันด้วย
ถูกโจมตีเรื่องอาวุโสน้อย
คำว่าอาวุโสน้อยเป็นคำที่บาดหัวจิตหัวใจ ผมเข้าโรงเรียนนายอำเภอรุ่นที่ 31 เป็นนายอำเภอตอนอายุ 37 ตอนสอบเข้าเป็นปลัดอำเภอ ตามปกติเขาสมัคร 300 คนเอาสัก 250 คน รุ่นผมมีคนมาสมัคร 3 พันคน เอาครึ่งหนึ่ง ก็สอบได้ที่ 1 เพื่อนๆ ที่อบรมรุ่นเดียวกัน ก็รู้ว่าแต่ ละคนว่ามีฝีมือขนาดไหน แต่ละคนไม่ใช่ไม่รู้จักกัน ทำงานมันรู้จักกันมาทั้งนั้น อย่าไปคิดว่าการข้ามชั้นการกระโดดจะเป็นการเอาคนท้ายแถวมาอยู่ข้างหน้า มันไม่มีหรอก ไม่ใช่อยู่ดีๆจะโตมาโดยไม่ได้มีอันดับ
เป็นยุคสิงห์แดง(รัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์)ผงาด
มันอยู่ที่สัดส่วนของคนที่เติบโตมา ในแต่ละยุค ไม่ใช่ว่าผมมาเป็นปลัดกระ ทรวงแล้วจะชี้เอาเพื่อนสิงห์แดงคนนั้นคนนี้มา มันเป็นไปไม่ได้ คนโตมาตามลำดับ ก็เป็นยุคๆ บางยุคก็บอกว่ามีแต่สิงห์ดำเป็นผู้ใหญ่หมดเลย มันก็เป็นจังหวะยุคที่เติบโตมาพร้อมกัน
การเลือกคนใกล้ชิดทำงานตำแหน่งสำคัญ
ถ้าจะบอกไม่เลือกก็เหมือนโกหกกัน แต่ว่าเลือกเฉพาะตำแหน่งที่จำเป็น งานจะได้เดินได้ ไม่ใช่เลือกทุกคน อย่างหน้าห้องผมไปเลือกคนที่ไม่รู้จักเลย แล้วต้องไปนั่งอธิบายว่าต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ มันก็ไม่ต้องทำงานกัน มีเฉพาะบางตำแหน่ง อย่างคนเป็นอธิบดี ก็ต้องเลือกเลขานุการกรม เพราะเป็นคนสนิทที่จะเข้าใจ
ข้าราชการกังวลการล้างบาง
ต้องย้อนไปดูว่าตอนผมเป็นผู้ว่าฯ หรืออยู่ในกรม ไปล้างบางใครไหม มันไม่มี ผมใช้คนที่มีอยู่ให้มีคุณภาพ ไม่ใช่ว่าฉันต้องเอาทีมของฉัน แต่หากตรงไหนมันขับเคลื่อนไม่ได้แล้วเป็นงานสำคัญ ก็ต้องปรับเปลี่ยน
รัฐบาลใหม่มากังวลหรือไม่
ลึกๆ ทุกคนก็กังวลทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องหนทางข้างหน้าที่เราเข้าใจและรับสภาพ ตำแหน่งที่อยู่สูงเป็นธรรมดาที่จะถูกกระทบได้ง่าย แต่คงไม่มาบั่นทอนความตั้งใจของเรา เคยมีผู้ใหญ่สอนว่าเวลาทำงาน สิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จมากที่สุดคืออย่ากลัวถูกย้าย ถ้ากลัวก็ไม่ต้องทำอะไร กลายเป็นยกการ์ดสูงอย่างเดียว คนทำน้อยผิดน้อย ทำมากผิดมาก ถ้ายกการ์ดสูงเอาปลอดภัย ความสำเร็จของงานก็มีได้ยาก
ผมถือหลักว่าไม่กลัวถูกย้าย มาถึงขั้นนี้แล้วไม่เห็นต้องกลัวอะไร ไม่ได้ท้าทายใคร แต่ไม่รู้จะกลัวไปเพื่ออะไร
ทำในสิ่งที่มุ่งหวังให้สำเร็จดีกว่า