ที่มา ประชาไท
หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม: ปรากฏการณ์ลูกอภิสิทธิชนกับการทำให้มีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนถึง 9 ศพ กับการให้ค่ากับชีวิตคนไทย
ราคาของมนุษย์นั้นไม่เท่ากัน การให้ค่าของสังคมกับมนุษย์นั้นก็มีชนชั้นมาโดยตลอดทั้งที่กางกั้นด้วยฐานะ วรรณะ และชาติตระกูล - คนงานต่างชาติผิดกฎหมาย เด็กขายพวงมาลัย คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่ค้าลูกชิ้นทอดที่มุกดาหาร นักศึกษามหาลัย กับลูกอภิสิทธิชน
ข้าพเจ้าต้องเข้าห้องพิจารณาคดีในคดีที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทโดยบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลกเมื่อปี 2548 มีผู้ร่วมนั่งอยู่ในห้องพิจารณาคดีแออัดเต็มห้อง ร่วมกัน 30 คนน่าจะได้ พวกผู้ชายถูกตรวนมือตรวนเท้า เดินเข้ามาในห้องพิจารณาคดีราวกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ แต่เมื่อฟังการพิจารณาคดี ครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานจากเขมร และพม่า ที่ถูกจัดว่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย อีกครึ่งหนึ่งเป็นคดียาบ้า และมีคดีลักทรัพย์แจมมาสองสามคน
สิ่งที่น่าตระหนกจากประสบการณ์วันนั้นคือ ราคาของคนจนนี่มันถูกมากๆ ยาบ้าไม่กี่เม็ดทำให้เขาถูกตัดสินจำคุกกันตั้งแต่ 6 เดือน หนึ่งปี หรือสองปี การตัดสินสูงสุดในวันนั้นคือ 11 ปี สำหรับคดีค้ายาบ้า ในส่วนแรงงานต่างชาติที่เข้าเมืองผิดกฎหมายจำนวนไม่น้อยถูกสั่งจำคุก 3 เดือน 6 เดือน มีบางคนถูกขังคุกเกินคำตัดสิน แต่ก็ไม่มีการจ่ายค่าชดเชยจากการถูกขังเกินกำหนด ทุกคนไม่มีทนายความแก้ต่างให้
ข้าพเจ้าพบกับครอบครัวขายพวงมาลัยแถวย่านลาดพร้าวครอบครัวหนึ่งที่คนเกือบ 8 ชีวิตของครอบครัวนี้เลี้ยงตัวเองจากการขายพวงมาลัยมากว่าสิบปี เกือบทุกคนถูกจับโยนเข้าสถานพินิจตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ เข้าแล้ว เข้าอีกคนละปีสองปี เพราะข้อหาขายพวงมาลัย เร่รอน และไม่ได้เรียนหนังสือ มิหนำซ้ำ พวกเขายังเป็นแหล่งเงินอันโอชะของตำรวจที่รีดไถพวกเขาทุกวี่วันมาอย่างยาวนาน ด้วยการเป็นกลุ่มคนไร้สถานภาพและคนชายขอบของสังคม รายได้วันละร่วม 2,000 บาทของทุกคนรวมกัน จะหมดไปในพริบตาถ้าถูกตำรวจรีดไถ
ชะตากรรมของคนจน คนชายขอบ คนงานต่างชาติเหล่านี้ ทำให้นึกถึงกระแสเฟสบุค กรณีของเด็กสาวอายุ 17 ลูกหลานราชสกุลที่มีประวัติย้อนไปถึงรัชกาลที่ 1 และทั้งพ่อและลุงมีตำแหน่งใหญ่โตในวงการทหาร การตื่นของคนเมืองครั้งนี้ ทำเอาหลายคนตื่นตะลึงและพ้อด้วยความไม่เข้าใจว่า เหตุใดการตายของคนเสื้อแดง 91 ศพ กลางเมืองหลวงยังไม่สามารถสะเทือนหัวใจคนชั้นกลางในเมืองหลวงเท่ากับคดีนี้ จนมีคอมเมนต์มากมายทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายไม่เห็นด้วยกับปฏิกิริยาชนชั้นกลางครั้งนี้
จริงๆ คดีมันชัดมากคือ คนขับรถยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ขับรถโดยประมาท ทำให้คนเสียชีวิตถึง 9 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน เป็นคดีสะเทือนขวัญร้ายแรง และผู้ขับขี่และครอบครัวของเธอต้องรับผิดชอบในการกระทำครั้งนี้ ทั้งทางแพ่งและอาญา ไม่มีประเทศไหนปล่อยให้การประมาณจนการเสียชีวิตอย่างมากเช่นนี้ลอยนวลผ่านไป เพราะมันคือกระจกสะท้อนถึงความรุนแรงบนท้องถนนในอดีต ในปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ถ้าไม่มีการจัดการอย่างเด็ดขาด และเข้มงวด
การพยายามอ้างว่าเด็ก 14-15 ก็ขับรถกันแล้วโดยไม่มีใบขับขี่ เป็นข้ออ้างที่อันตราย เพราะเป็นการสมยอมกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะในทางกลับกันประเทศไทยจะต้องจริงจังกับเรื่องการให้ใบอนุญาตใบขับขี่และตรวจจับและลงโทษผู้ไม่มีใบขับขี่อย่างเข้มข้นมากกว่าที่ผ่านมา ในหลายประเทศ
การจะให้ให้ใบอนุญาตนอกจากกำหนดอายุแล้ว ต้องเข้าโรงเรียนเรียนการขับรถ จนได้ใบอนุญาต แล้วนำมาทำการสอบขับขี่ พร้อมกับจ่ายค่าใบอนุญาตจำนวนแพงโข ต่อใบอนุญาตกันปีต่อปี ทำผิดสามครั้งติดต่อกันถูกยึดใบขับขี่ และพักการให้อนุญาตหนึ่งปีกันเลยทีเดียว
การทำให้เรื่องการขับขี่มีราคาสูง เพราะประเทศนั้นๆ ให้คุณค่ากับชีวิตมนุษย์สูงเช่นกัน และเพื่อทำให้ผู้ขับขี่ตระหนักในอันตรายที่ตัวเขาอาจจะทำให้เกิดขึ้นได้ทั้งกับตัวเอง และที่ร้ายกว่า คือเกิดกับผู้อื่น เช่นกรณีของ น.ส. เอ เป็นต้น
ปรากฏการณ์ของ น.ส. เอ ที่สร้างการตื่นตัวกับคนหาเช้า กินค่ำ จนเฟสบุ๊คที่รณรงค์เรื่องนี้มีสมาชิกถึงกว่าสองแสนห้าหมื่นคนภายในไม่ถึงสัปดาห์ อาจจะเพราะว่าคนเหล่านี้มีชะตากรรมร่วมกับผู้เสียหาย เพราะพวกเขาใช้บริการสาธารณะเช่นกัน และปรากฏการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นความร้ายแรงแห่งการประมาทบนท้องถนน ที่คนที่ตายนั้นอาจจะเป็นเขาและเธอเองก็ได้ ทำให้พวกเขาตระหนักว่าชีวิตอันมีค่าของพวกเขานั้นราคาถูกแค่ไหนถ้าเจอกับคนขับรถที่ไร้วุฒิภาวะเช่น น.ส. เอ นี่จึงอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งของปรากฏการณ์เฟสบุค เพราะพวกเขาตระหนักในภัยที่ถึงตัวพวกเขาได้มากกว่าภัยจากการไม่ร่วมปกป้องและรักษาประชาธิปไตยที่ยาวไกลเกินกว่าเขาจะรู้สึกถึงความเร่งด่วนของปัญหา
ขณะเดียวกันสาธารณชนที่หวาดวิตกว่าคนผิดจะลอยนวลครั้งนี้ ก็เพราะสังคมไทยมีบทเรียนให้ประจักษ์กันมาตลอดถึงศักยภาพแห่งอภิสิทธิชนไทย ที่สามารถเอาตัวรอดไปจากความพินาศที่พวกเขาก่อได้เกือบทุกครั้ง เห็นกันตำตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งถ้าดูจดหมายที่ตอบเป็นทางการฉบับแรกของตระกูล “เทพหัสดิน ณ อยุธยา” เราก็ตระหนักได้ถึงความสมจริงของการกลัวครั้งนี้ เพราะการตอบนี้เป็นการตอบที่เข้าใจหลักกฎหมายอย่างดี ไม่ตอบให้มากความ ไม่ผูกมัดตัวเอง ไม่มีการยอมรับผิด มีแต่คำว่า “เสียใจ” และ “ขอให้เป็นอุทาหรณ์”
คำสัมภาษณ์ของแม่เด็ก และพ่อ และลุงของเด็กยิ่งทำให้ความน่ากลัวว่าความเป็นอภิสิทธิชนของพวกเขาจะทำให้ไม่ต้องมีความรับผิดชอบในกรณีนี้ แม่เด็กให้สัมภาษณ์ว่า “เตรียมส่งลูกไปอเมริกา” พ่อและลุง (ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษากองทัพไทย) บอกว่าจะเคารพกฎหมาย แต่จดหมายตอบของตระกูลนี้ ตอบในนามตระกูล พร้อมตราประทับของราชสกุล แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่า “ทั้งตระกูล” เตรียมพร้อมที่จะปกป้องคนของอภิสิทธิชน
หลายคนสะท้อนว่าถ้าคนขับไม่ใช่ราชสกุล ป่านนี้ต้องเข้าไปอยู่ในห้องขังแล้ว แม้บาดเจ็บ ถ้ายกตัวอย่างกรณีชาวบ้านเสื้อแดงที่มุกดาหาร ก็คือต้องเข้าโรงพยาบาลโดยมีการล่ามโซ่ขาไว้กับเตียงเพื่อป้องกันการหลบหนี
เด็กคนนี้มีโอกาสจะหลบหนีได้มากกว่านักโทษเสื้อแดงมุกดาหารหลายเท่านัก แต่ไม่ถูกจับ ไม่ถูกล่ามโซ่ และมีการนัดแจ้งข้อกล่าวหาข้ามปี นี่ไม่เรียกว่าการได้รับการปฏิบัติอย่างอภิสิทธิชน สองมาตรฐาน และเป็นเรื่องที่สังคมควรกังวล แล้วจะเรียกว่าอะไร
มันไม่ใช่เรื่องว่าเอาเด็กไร้เดียงสา บริสุทธิ์ สำนึกผิดแล้ว สังคมควรเห็นใจและให้อภัย เช่นที่คนเห็นใจเด็กคนนี้นำเสนอกัน แต่เพราะว่าผลจากการปล่อยปละละเลยคือโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ที่เกิดขึ้นในกรณีนี้ และที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ผลที่ผูกพันถึงการเสียชีวิตปีละหลายหมื่นคนบนท้องถนน แค่เทศกาลใหญ่ๆ ปีละ สองสามครั้งก็คราชีวิตคนปีละร่วมสองพันคน ไหนจะความทุกข์อันมากมายที่เกิดจากครอบครัวของผู้สูญเสียหรือได้รับบาดเจ็บ พิกลพิการ สูญเสียงาน สูญเสียรายได้ ที่เคยทำอีกล่ะ และไหนจะความสูญเสียทางตรงเรื่องความเสียหายทั้งรถยนต์ และทรัพย์สินต่างๆ รวมทั้งทรัพยากรของชาติสำคัญๆ ต้องเสียไปเพราะความหย่อนยานเรื่องวินัยจราจร
ผลที่เกิดขึ้นครั้งนี้จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องนำมาสู่มาตรการคุ้มเข้มบนท้องถนน และวินัยจราจร การสอบใบขับขี่และการให้ใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกเช่นกันว่า พื้นที่บนท้องถนน เป็นพื้นที่ที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า เป็นแหล่งคอรัปชั่นใหญ่ของตำรวจผู้มีหน้าที่กำกับกฎหมายเช่นกัน และระบบ “พ่อกูหย่าย” ก็ทำให้ตำรวจชั้นผู้น้อยทำอะไรไม่ได้มากที่ผ่านมาเช่นกัน
มองไปข้างหน้าปรากฏการณ์เด็กอายุ 17 ขับรถโดยประมาท ทำให้คนเสียชีวิตถึง 9 คน คือการต้องวางมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่องกฎ ระเบียบ การวินัยการจราจรบนทางหลวง ถ้าเป็นหลายประเทศ กรณีนี้อาจจะต้องทำให้มีการตั้งคณะกรรมการศึกษาปัญหา และช่องโหว่กันเพื่อเสนอทางแก้ไขกันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเด็กและครอบครัวเด็กต้องร่วมรับผิดชอบอย่างเต็มที่ การประมาณที่นำชีวิตของคนถึง 9 คน ไม่สามารถถูกทำให้ปล่อยผ่านไปได้ เป็นความสูญเสียที่ไม่ใช่คำว่าเสียใจ และเป็นอุทาหรณ์ ก็เพียงพอแล้ว แต่การรับโทษจำเป็นต้องมี การจ่ายค่าเสียหายชีวิตคนที่มีค่าในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน หรืออาจจะมากกว่าจำเป็นต้องมีเช่นกัน เพราะหลายคนที่เสียชีวิตไปนั้น ได้ใช้ทรัพยากรของครอบครัว ของชาติ และของโลกเพื่อพัฒนาตัวเองจนจบปริฯญาเอก ปริญญาโท และกำลังจะจบอีกหลายคน เป็นการสูญเสียทรัพยากรที่ต้องชดเชยและต้องชดใช้เช่นกัน
ราคาแห่งโศกนาฏกรรมครั้งนี้จึงสูงมากทั้งกับครอบครัวอภิสิทธิชน ที่คนกว่าสองแสนห้าจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิดและไม่ปล่อยให้ลอยลำไปได้ ราคาของครอบครัว 9 คน ที่เงินล้าน สิบล้าน หรือร้อยล้าน ไม่สามารถทดแทนความสูญเสียและความเจ็บปวดในหัวใจของพวกเขาได้
หนทางที่จะนำไปสู่การไร้ข้อครหาในคดีนี้คือ คือการทำให้กระบวนการยุติธรรมมันก่อเกิด และการทำให้การเสียชีวิตครั้งนี้นำสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นหลักประกันว่าชีวิตคนที่มีค่าเช่นเขาเหล่านี้จะไม่ต้องเส้นสังเวยบนท้องถนนเพราะความหย่อนยานทางกฎระเบียบการจราจร เพระคนไม่มีวุฒิภาวะและไม่มีใบอนุญาตขับขี่อีกต่อไป และเมื่อนั้นคำว่า “ขอให้เป็นอุทาหรณ์” จะออกมาเอง ไม่ใช่จากคอรบครัวผู้กระทำผิด แต่จากครอบครัวของผู้เสียหาย และสาธารณชน