ที่มา ประชาไท
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 5 มกราคม กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ได้เคลื่อนมวลชนเข้าพื้นที่ถนนศรีเพ็ญ จังหวัดสระแก้ว เพื่อมุ่งหน้าหลักเขตแดนที่ 46 ระหว่างการเดินทาง กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติได้เจอทหารพรานสกัด ที่หน้าตชด. 126 อรัญประเทศ จ.จังหวัดสระแก้ว และอยู่ระหว่างการเจรจา
นอกจากนั้นได้ประจันหน้ากับชาวโคกสูง กว่า 300 คน ที่ยกพลมาคัดค้าน ห่างกันเพียง 100 เมตรเท่า มีเจ้าหน้าที่ ทหารพราน กองกำลังบูรพา ตชด.12 อรัญประเทศ หน่วยป้องกันการจลาจล กว่า 200 นาย ยืนกั้นกลางฝูงชนทั้งสอง ป้องกันการปะทะ โดยสองฝ่ายต่างเปิดเครื่องเสียงและปราศรัยโจมตีกัน
ขณะที่พลตรี วลิต โรจน์ภักดี ผบ.กองกำลังบูรพา กล่าวว่า จะพาแกนนำของกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติเข้าไปยังหลักเขตแดนที่ 46 ที่กองกำลังบูรพากำหนดพื้นที่เอง
ทางด้านนายศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า ยืนยันให้ตัวแทนบางส่วนเข้าไปเท่านั้นเนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาเหมือนกับที่ คนไทย 7 คนถูกจับกุมตัวไป
พอใจดูหลักหมุดที่ 46 พร้อมเดินทางกลับชุมนุมหน้าทำเนียบฯต่อ
จากนั้นเวลา 17.00 น.คณะของเครือข่าวประชาชนไทยหัวใจรักชาติ พร้อมด้วยสื่อมวลชน ได้เดินทางกลับหลังจากเดินทางไปยังพื้นที่มีปัญหา หลักหมุดที่ 46 บ้านหนองจานนำโดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า พอใจกับการที่ได้เข้ายังพื้นที่ดังกล่าว และรู้สึกขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในพื้นที่ ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และ พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผบ.กองพลทหารราบที่ 2 ที่ได้มีความพยายามที่จะอำนวยความสะดวกให้
"จริงๆ พวกเราเข้าใจถึงความอยากลำบากในการปฏิบัติหน้าที่ แต่พวกเราอยากจะบอกให้รัฐบาลรับรุ้ว่าข้อมูลของภาคประชาชนก็มีและมีบาง ประเด็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องของปัญหาพื้นที่ชายแดน จึงอยากจะฝากถึงรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีว่าให้มาดูข้อมูลของประชาชนบ้าง และการเดินทางมาในครั้งนี้ของพวกเรา ไม่ได้จะมาเพื่อสร้างความลำบากใจกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ แต่อยากจะบอกว่าพวกเรามีความเป็นห่วงและอยากให้ทุกคน ช่วยกันรักษาแผ่นดินไทย ซึ่งหลังจากดูหลักหมุดที่ 46 แล้ว อยากจะบอกรัฐบาลว่าเราได้รู้ความจริงบางอย่างและอยากให้รัฐบาลหันมาดูข้อมูล ของประชาชนบ้าง และยืนยันว่าพื้นที่ที่คนไทยทั้ง7 คนเข่าไปนั้นคือแผ่นดินไทย
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการบิดเบื้องข้อเท็จจริง พร้อมทั้งมีการล้อมรั้วลวดหนามใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับในช่วงที่ 7 คนไทยได้เข้าไปในวันที่ถูกจับ" ม.ล.วัลย์วิภา กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้นกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทย หัวใจรักชาติก็แยกย้ายกับโดยจะไปรวมตัวกันที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อยืนยัน เจนตนารมณ์เดิมพร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องและเร่งให้ความ ช่วยเหลือคนไทย 7 ทั้งคน กลับประเทศโดยเร็วที่สุด
“ป๋าเปรม” ห่วง 7 คนไทยถูกจับ
5 ม.ค. 53 - ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เพื่อเข้าอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า พล.อ.เปรม สอบถามถึงข้อเท็จจริงในหลายๆเรื่อง ซึ่งตนได้เรียนให้ พล.อ.เปรม รับทราบ และท่านยังสอบถามเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงปัญหาคนไทย 7 คนที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมด้วย โดยพล.อ.เปรม แสดงความห่วงใยและสอบถามถึงแนวทางของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหานี้ ขณะที่ตนได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริงและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น รวมถึงปัญหาความห่วงใยในเรื่องของเขตแดนทั้งหมด
เมื่อถามว่าสถานการณ์ปัจจุบันตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานเข้ามานั้นมี ความคืบหน้าอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเรื่องนี้ทั้งหมด ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าภารกิจของเราคือการช่วยให้คนเหล่านี้ได้กลับมาโดยเร็วที่สุด แต่ตนไม่ขอวิจารณ์หรือพูดเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงื่อนไขหรือการสมมติเหตุการณ์ต่างๆ โดยขณะนี้มีการประสานงานและทำงานกันอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ชี้แจง ซึ่งถ้ามีอะไรที่เราเห็นว่าเป็นการกำหนดแนวทางหรือนโยบาย หรือมีสิ่งเปลี่ยนแปลง เราจะแจ้งให้ทราบ
เมื่อถามถึงการที่นายกรัฐมนตรี นัดพบญาติของคนไทยทั้ง 7 คนที่ถูกจับ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กำลังนัดหมายกันอยู่ แต่ตนได้พบกับมารดาและภรรยาของนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุม แล้วเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เขาก็มีความเข้าใจในสถานการณ์ สำหรับการนัดพบกับญาติของคนไทยทั้ง 7 คนนั้น เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน เพราะหลายคนคงได้ไปเยี่ยม และอาจมีความห่วงใยอะไร เราก็จะได้รับทราบ เมื่อถามว่าคิดว่ายังมีทางออกหรือแสงสว่างในเรื่องนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “มีครับ ผมยังเชื่อว่าเดินได้ครับ”
สุเทพอ้อนฮุนเซน เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึง ความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทย ที่ทางการกัมพูชาจับกุมตัวไว้ ว่า การต่อสู้คดีความนั้น ต้องว่าไปตามกระบวนการ หากทางศาลกัมพูชาให้อนุญาตให้ประกันตัวได้ เราก็คงจะประกันตัว
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าทางศาลกัมพูชาจะให้ประกันตัว นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ เพียงคนเดียว ส่วนที่เหลือถือว่ากระทำผิดซ้ำซาก และเจตนารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าเพิ่งคาดการณ์อะไรในทางร้าย ทุกอย่างต้องว่าไปตามข้อเท็จจริงพื้นฐาน เพื่อให้ทางกัมพูชาทราบว่าเราไม่ได้บิดเบือนข้อเท็จจริงอะไร และคนไทยทั้ง 7 คน ไม่ได้มีเจตนาร้ายเข้าไปก่อความไม่สงบ หรือความวุ่นวาย ไม่ได้มีการพกพาอาวุธ เพียงแต่เข้าไปดูเรื่องหลักเขตบริเวณที่ดินที่เป็นที่มีประชาชนร้องเรียนมา เท่านั้น
นายสุเทพ กล่าวยอมรับด้วยว่า ขณะนี้รู้สึกกังวลกับการเคลื่อนไหวบริเวณตามแนวชายแดน แต่ก็ต้องขอขอบคุณผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ ที่ได้ช่วยกันพูดจาสร้างความเข้าใจ ป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งถือว่าโชคดีที่สามารถประคับประคองสถานการณ์ได้ เพราะถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา จะยิ่งทำให้การช่วยเหลือ 7 คนไทย ยุ่งยากขึ้นไปอีก
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลออกมาระบุว่านายพนิช กับพวก รุกล้ำเข้าไปในดินแดนกัมพูชา แต่ภายหลังจากการประชุม ครม.วงเล็ก เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่มีการนำเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารหารือด้วย ทำให้ท่าทีของรัฐบาลเปลี่ยนแปลงไป เป็นไม่ยอมรับใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น การตรวจสอบข้อเท็จจริงก็ต้องดำเนินการกันไป เพราะพื้นที่ดังกล่าว เป็นจุดหนึ่งในหลายจุดที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับแนวแผนที่ที่ใช้กันอยู่ จึงต้องหาข้อยุติในคณะกรรมการปักปันเขตแดน และมีหลายจุดที่ต้องมีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย หรือดูแลระวังรักษาไม่ให้ชุมชนที่อยู่ในรอยต่อของพื้นที่ขยายตัวออกไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังเชื่อว่าคลิปวีดีโอที่มีการเผยแพร่ผ่านยูทูบเป็นการตัดต่อจริงหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เท่าที่ได้ติดตามสอบถามทราบว่าคลิปดังกล่าว ถ่ายโดยทีมงานของคณะคนไทยที่เดินทางไป เพื่อจะนำมาออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของเขา แต่เมื่อถูกจับก็ถูกยึดอุปกรณ์ไปทั้งหมด และภาพที่ถ่ายไว้มีความยาวมากกว่านี้ แต่คนที่เอามาปล่อยก็ปล่อยเฉพาะสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับคนปล่อย แต่ตนไม่ได้เห็นคลิปทั้งหมด
เมื่อถามย้ำว่า มั่นใจว่าเป็นการตัดต่อหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า “ตัดน่ะตัดแน่ แต่ต่อหรือไม่ ผมไม่ทราบ เรื่องอย่างนี้มันพูดยาก ยืนยันว่า ฝ่ายไทยไม่ได้เป็นคนปล่อยคลิปนี้” นายสุเทพ กล่าว
เมื่อถามว่า ดูท่าทีของ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะเพิกเฉย ไม่ตอบรับต่อความพยายามของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน คิดอย่างไร เพราะยังไม่ได้สามารถติดต่อสมเด็จฮุนเซน โดยตรงได้ เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ และไม่ทราบว่าสมเด็จฮุนเซน อยู่ที่ไหน อย่างไร
เมื่อถามว่า มีข่าวว่ารัฐบาลพยายามจะช่วยนายพนิช ออกมาก่อนเพียงคนเดียว นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลช่วยเหลือทุกคน ที่ข่าวว่าจะช่วยเหลือนายพนิช เพียงคนเดียว เป็นการเติมไฟใส่เชื้อให้คนไทยไม่ชอบใจกัน ยืนยันว่า รัฐบาลรับผิดชอบต่อคนไทยทุกคน
“ผมหวังว่าสมเด็จฮุนเซน จะได้เห็นแก่การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ท่านได้ร่วมกับนายกฯ อภิสิทธิ์ แก้ไขสถานการณ์จนดีขึ้น ในระดับที่ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความสบายใจแล้ว ดังนั้น หวังว่าจะใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเพื่อนบ้าน ที่เราหวังจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ช่วยแก้ไขปัญหานี้ ที่ผ่านมา ผมพยายามติดต่อสมเด็จฮุนเซน อยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยโทรศัพท์โดยตรงกับสมเด็จฮุนเซน เป็นการติดต่อผ่านคนช่วยประสานให้ แต่ยังติดต่อไม่ได้” นายสุเทพ กล่าว
“หมอท็อป” อ้าง 7 คนไทยเลี้ยวผิด
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายให้ข้อมูลเรื่อง 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับ ไปในทางเดียวกัน เพราะศาลกัมพูชาจะพิจารณาคดีดังกล่าว ในวันที่ 6 ม.ค.นี้แล้ว นอกจากนี้ยังอยากให้เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ชุมนุมอยู่ที่ จ.สระแก้ว หลีกเลี่ยงการสร้างประเด็นที่อาจสร้างความขัดแย้ง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเผชิญหน้ากับทางกัมพูชา เพราะไม่เป็นผลดีต่อโอกาสที่คนไทยทั้ง 7 คน จะได้รับอิสรภาพ
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นพบว่านายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ และคนไทยอีก 6 คน ได้เดินผ่านจุดตรวจที่ 48 บนถนนศรีเพ็ญ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ไปตามถนนลูกรัง จากนั้นข้ามรั้วลวดหนาม ก่อนเดินไปถึงสามแยกที่อยู่บนเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาใช้อ้างอิงในการปฏิบัติงานชั่วคราว โดยคณะกรรมาธิการปักกันเขตแดนร่วมหรือเจบีซีของทั้งไทยและกัมพูชา ต่างยอมรับว่าหลักหมุดทั้ง 2 หลักดังกล่าวอาจคลาดเคลื่อนจากพื้นที่จริง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวต่อว่า จากนั้นนายพนิช และคณะได้เลี้ยวไปทางขวามุ่งหน้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นคนละทางกับหลักหมุดที่ 46 ที่นายพนิช พูดในคลิปซึ่งปรากฎบนเว็บไซต์ยูทูบว่าจะเข้าไปตรวจสอบ ซึ่งต้องเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากความสับสนทางภูมิประเทศ เป็นเหตุให้นายพนิช และคณะถูกทหารกัมพูชาจับในทั้สุด ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบริเวณที่โดนจับเลยเส้นประระหว่างหลักหมุดที่ 46 และ 47 ไปเพียง 55 เมตร ไม่ถึง 1,200 เมตร ซึ่งหากพิจารณายึดตามสันปันน้ำจะล้ำเข้าไปเพียง 10 เมตรเท่านั้น
“ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้คดีของคนไทยทั้ง 7 คน ที่จะอ้างว่าคณะคนไทยดังกล่าว พลัดหลงเข้าไป ส่วนที่อ้างข้อความที่นายพนิช พูดในคลิป ว่า นายกรัฐมนตรีรู้เรื่องล่วงหน้าความจริงแล้วนายพนิช ได้รับเรื่องร้องเรียนว่ามีชาวกัมพูชารุกล้ำดินแดนเข้ามาในไทย ทำให้นายพนิช ในฐานะอดีตผู้ช่วยรมว.ต่างประเทศและกรรมาธิการฯ เจบีซีแจ้งกับนายกฯ ว่าจะไปสำรวจพื้นที่ โดยบอกว่าไป จ.ปราจีนบุรี ไม่ใช่ จ.สระแก้ว และนายพนิช ก็ไม่ได้แจ้งว่า นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติจะเดินทางไปด้วย”
เมื่อถามว่า คลิปล่าสุดที่ปรากฎในยูทูปนายวีระ พูดชัดว่าจะเดินไปให้จับ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอถามนายวีระ ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะบางช่วงในคลิปฉบับเต็มความยาว 20 นาทีกว่า นายวีระ ก็พูดแบบทีเล่นทีจริง
เมื่อถามว่า ภายหลังคณะคนไทยถูกจับก็มีผู้ชุมนุมออกมาทันที แสดงให้เห็นว่าเป็นเกมหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นเกมหรือไม่ แต่ไม่อยากให้เครือข่ายคนไทยฯ ที่ชุมนุมที่ จ.สระแก้ว ให้ข้อมูลซึ่งสร้างความสับสน และยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้จัดตั้งม็อบไปชนกับผู้ชุมนุมกลุ่มดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการแถลงข่าว นพ.บุรณัชย์ ได้รูปภาพแสดงเส้นทางการเดินของนายพนิช และคณะ จากจุดตรวจที่ 48 ผ่านรั้วลวดหนาม ไปยังสามแยก ก่อนเลี้ยวผิดไปถูกจับในเขตที่ทหารกัมพูชาควบคุมอยู่
นักสิทธิมนุษยชนหวั่นคดี 7 คนไทยชนวนวิกฤต
ด้านเว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่าวิทยุเอเชียเสรี หรือ RADIO FREE ASIA ของกัมพูชาได้ รายงานข่าวว่านักวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างกัมพูชา - ไทย ประเมินสถานการณ์ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ อาจถึงขึ้นเผชิญกับวิกฤตทางการทูตอีกครั้งหนึ่ง โดยทั้งนี้นักวิเคราะห์ ได้ประเมินจากสถานการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาเพื่อประชาธิปไตย หรือกลุ่มเสื้อเหลือง และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ที่ได้มาชุมนุมที่จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 54 เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชาปล่อยตัว 7 คนไทย ที่ถูกจับในข้อหาข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยกลุ่มดังกล่าวตั้งเป้าว่าจะมีผู้ร่วมประท้วงราว 5,000 คน
ทางการกัมพูชาเองนั้นไม่ได้ให้ความสนใจต่อคำขู่ของกลุ่มผู้ประท้วงเหล่านั้น แต่อย่างใด โดยนักวิเคราะห์สถานการณ์ได้ขู่ว่า การข้ามแดนเข้ามาในฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายของทั้ง 7 คน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเจตนาที่จะให้ทางการกัมพูชาจับตัว เพื่อใช้เป็นชนวนปลุกกระแสชาตินิยมของคนไทย และจะส่งผลต่อคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี 2554 โดยคนไทยทั้ง 7 ขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวชั่วคราวที่เรือนจำเปร็ยซอ ในจำนวนมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 ท่านรวมอยู่ด้วย
นายไพ ซีพาน โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กับวิทยุเอเชียเสรีว่า คนไทยทั้ง 7 คนได้ข้ามมาฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายจริง และศาลกัมพูชาจะพิจารณาลงโทษคนไทยทั้ง 7 คนนี้ โดยหวังว่าการจับกุมตัวครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดวิกฤตทางการทูตต่อกันระหว่าง กัมพูชากับไทยอีกรอบ
นายอู วิเรียะ ประธานศูนย์สิทธิมนุษยชน ประเทศ กัมพูชา ก็ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงต่อเหตุการณ์ที่ 7 คนไทยข้ามแดนมาฝั่งกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายโดยมีการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อหวังคะแนนสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบัน เป็นหัวหน้าพรรคด้วยเช่นกัน
ที่มาข่าวเรียบเรียงจาก:
"ป๋าเปรม"ห่วง 7 คนไทยถูกเขมรจับ (เดลินิวส์, 5-1-2554)
นักสิทธิมนุษยชนหวั่นคดี7คนไทยชนวนวิกฤต (คม ชัด ลึก, 5-1-2554)