ที่มา thaifreenews
โดย bozo
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง เขมรรู้ทัน
โดย กาหลิบ
แหล่งข่าวในกัมพูชาเล่าว่าพวกผู้นำของเขากำลังหัวเราะกันสนุก
กรณีรุกแผ่นดินที่กัมพูชาเขาถือกรรมสิทธิ์จนต้องเข้าตะรางกันไปแล้ว
ทั้ง ๗ คนได้กลายเป็นลูกบอลที่เตะกันได้อย่างสนุกสนาน
เขาไม่ได้เคร่งเครียดกันเหมือนคนไทยบางคนที่คอยบงการ
ตามแผนยั่วยุนี้อยู่และกำลังจะเสียแผน
ดูเหมือนฝ่ายเขมรจะอ่านขาด
เขาจึงยืนยันทำตามกฎหมายของเขา
ฝ่ายไทยจะไปอาละวาดมากนักก็จะเสียกิริยาในฐานะที่โลกเขานึกว่าเป็นอารยชน
เขารู้ดีว่าเจ้าของแผนนี้จะเล่นได้อีกเพียงไม่กี่น้ำ
เพราะจุดชนวนอารมณ์กริ้วของเจ้าของบ้านก็ไม่ติด
หันไปจุดทางกองทัพก็ไม่ได้ผล ไม่นานก็ต้องยอมพับฐานไป
สมาชิกเสื้อเหลืองที่แล่นไปจ่ออยู่แถวๆ ชายแดนสระแก้วและศรีสะเกษ ก็ช่วยอะไรไม่ได้
รายงานชี้เป้ากันสวยหรูว่ามีเป็นพันๆ คน เอาเข้าจริงสองร้อยก็ยังไม่ถึงดี
แถมเป็นสมาชิกชนิดมีค่าหัว (รายวัน) เสียเกินครึ่ง
พวกที่ถูกหลอกให้คลั่งชาติทั้งที่ไม่มีสาระอะไรเลย ก็พอมีอยู่บ้าง
แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้วลืมตาตื่นและได้สติกลับมาเพียงเล็กน้อยก็คงจะหารถกลับ
เพราะไม่ต้องการเป็นเหยื่อของนักรับจ้างทางการเมืองที่ก่อเรื่องนี้ขึ้น
เพื่อผลที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนเลยแม้แต่น้อย
ความจริงคิดอย่างคนสติดีก็คงไม่มีใครบุกไปถึงที่คุมขังอยู่ดี
ระยะทางจากชายแดนจนถึงคุกนั้นมันราว ๔๐๐ กิโลเมตร
และรอบข้างก็ประเทศของเขาทั้งนั้น ขาออกมาก็คงต้องจุดธูปเรียกกัน
ใจจริงเขาก็คงอยากให้บุกกันเข้ามาเหมือนกัน ขาดบางคนไปแผ่นดินไทยอาจจะสูงขึ้น
กัมพูชาก็มีหน้าที่นั่งกระดิกขารอเวลา
เพราะนายกรัฐมนตรีไทยยอมรับแล้วว่าเป็นคนสั่งให้
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์
ไปทำงานอันสุ่มเสี่ยงครั้งนี้
คนผูกอย่างนายอภิสิทธิ์ฯ จึงต้องเป็นคนแก้
หากการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ผลก็ไม่ได้ความดี
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น
แต่ถ้าไม่ได้ผล นายพนิชฯ นายวีระ สมความคิด และพวกก็ต้องติดคุกเขมรเป็นเวลายาวนาน
ผลกรรมอันหนักในทางการเมืองก็จะตกอยู่กับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ฯ
ถ้าถามกันให้ลึกลงไปอีกนิดว่า เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ก็คงพอลำดับได้ว่า
๑. เกิดจากความแค้นที่ไม่สามารถบังคับให้กัมพูชารับใช้เป้าหมายทางการเมืองในประเทศไทยได้
ทั้งๆ ที่เป็นเทพจุติลงมาเกิดเป็นเจ้าของประเทศไทย
๒. เกิดจากทัศนะดูถูกเหยียดหยามเพื่อนบ้านว่ายากจนและต้อยต่ำกว่าไทย
ทำให้วางแผนและดำเนินการทุกประการอย่างไม่รอบคอบ
ขาดความยั้งคิด และคิดอย่างประมาทว่าจะพลิกเกมกลับได้ทุกเมื่อ
๓. เกิดจากความไร้ปัญญาในการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน
โดยไม่รู้เลยว่าการเมืองที่น่ารังเกียจของฝ่ายอำนาจเก่าหรือเผด็จการโบราณของไทย
ได้ทำให้เกียรติภูมิของไทยลดต่ำอย่างมากในสายตาของประเทศเพื่อนบ้าน
วันนี้หากไทยเกิดพิพาทกับกัมพูชาก็แน่ชัดว่า
“สหบาทา” คงจะเป็นชะตากรรมของไทย ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ร้องเสียงหลงว่า
อย่าให้อาเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอันขาด
เรื่องของคน ๗ คนนี้ ความจริงเป็นเรื่องเล็กๆ
ที่ไม่มีความสำคัญต่อผลประโยชน์แห่งชาติเลย แม้แต่น้อย
หากวิธีดำเนินการนั้นเอง กลับเป็นสิ่งบ่งบอกถึงอุปนิสัยของผู้มีอำนาจในเมืองไทยว่า
ใช้สายตาและแนวคิดอย่างไรต่อประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งเป็นนิสัยเดิมๆ และวิธีปฏิบัติเดิมๆ ที่ทำให้มีข้อพิพาทระหว่างกัน
ในเรื่องต่างๆ หลากหลายประเด็นและรอบทิศ
บัดนี้เขารู้แล้วว่า ประชาชนชาวไทยและรัฐบาลเลือกตั้งล้วนเป็นมิตรกับเขา
แต่ผู้มีอำนาจใหญ่แห่งประเทศไทยทุกคนเลือกที่จะวางตัวเป็นศัตรู
และเห็นเพื่อนบ้านต่ำต้อยกว่าตนทั้งสิ้น
เขาจึงรักคนไทยและชิงชังผู้ปกครองด้วยไทยกันทั้งนั้น
ต้องขอบคุณทั้ง ๗ คนที่ช่วยรักษาสันดานเดิม
ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดในหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญนี้.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/01/blog-post_04.html