ที่มา บางกอกทูเดย์
‘ไชยวัฒน์’ หวังลบเหลี่ยม ‘มาร์ค’
เอาหมายศาลแปะหน้าทำเนียบ
เล่นกันแรงและยืดเยื้อ เพื่อวัดกันให้รู้ไปเลยว่า ใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน??
เพราะแม้ว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีภูมิคุ้มกันต่อระบบยุติธรรมสูงมาก
จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ 2 มาตรฐานกระฉ่อนเมืองไทยและก้องโลกไปแล้ว
บรรดานักกฎหมายทั้งหลายต่างต้องหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษา มีการวิพากษ์วิจารณ์กันตลอด
แต่ทุกเรื่องทุกกรณี ก็เป็นได้เพียงแค่วิพากษ์วิจารณ์ว่าผิดหลักระบบยุติธรรมบ้าง
เป็นการเลี่ยงบาลีแบบด้านๆบ้าง
แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้เป็นเหตุการณ์ “สีเทา”ในแวดวงกฎหมาย
ที่ไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะวัคซีนคุ้มกันของรัฐบาล
ได้รับการฉีดมาจากกลุ่ม”ขั้วอำนาจพิเศษ” กลุ่มทหารผลประโยชน์การเมือง
ในขณะที่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็เป็นม็อบที่มีภูมิคุ้มกันทางกฎหมายสูงด้วยเหมือนกัน
เพราะไม่เพียงยึดทำเนียบ
ยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
ยึดถนน ได้
โดยที่ฝ่ายกฎหมายอ้ำๆอึ้งๆ ในการที่จะดำเนินคดี
ในขณะที่ระบบยุติธรรมก็ตกอยู่ในสภาพแกล้งหลับตาข้างหนึ่งเอาไว้ตลอดเวลา
ดังนั้นทั้งคู่ จึงถือเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อกลุ่มม็อบพันธมิตรฯใช้ประเด็นพื้นที่พิพาทระหว่างไทย - กัมพูชา
ออกมาเล่นงานรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
และทำการยึดถนนประท้วงยืดเยื้อ ทำให้รัฐบาลได้มีการใช้ตัวช่วย
ด้วยการประกาศใช้พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
หวังจะสยบม็อบพันธมิตรฯ ให้ได้
โดยลืมนึกไปว่า
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯก็มีภูมิคุ้มกันกฎหมายที่สูงเหมือนกัน พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ
ก็เลยไม่ระคายผิว
ซ้ำนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
พร้อมด้วยสมาชิกเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ และ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานสมัชชาประชาชน ฯ ยังสวนหมัดกลับ
โดยยื่นฟ้องคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต่อศาลปกครองสูงสุด
ว่ากระทำการโดยมิชอบที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ใน 7 พื้นที่กรุงเทพฯ
แน่นอนว่าเมื่อเป็นการยื่นฟ้อง ครม. ทั้งคณะ ย่อมต้องรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย
เพราะอยู่ในฐานะประธานการประชุม
โดยในการฟ้อง ได้ขอให้
1.ศาลมีคำสั่งหรือพิพากษา เพิกถอน มติ ครม.
ที่ได้พิจารณาข้อเสนอของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( สตช.)
ในการเริ่มใช้มาตรการจัดการประชาชน ผู้ชุมนุมประท้วง
ที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9- 23 ก.พ.
2.เพิก ถอนประกาศที่ออกโดย ครม.เมื่อวันที่ 8 ก.พ.54
ทั้งหมด 3 ฉบับ ประกอบด้วย
ประกาศเรื่องพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง
ภายในราชอาณาจักร 7 เขตพื้นที่ในเขตกรุงเทพ ฯ
ประกาศเรื่องการห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
เรื่องการห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
และเรื่องการห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
หรือต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคม
หรือการใช้ยานพาหนะ ตามที่ ผอ.กอ.รมน.กำหนด
กลุ่มม็อบพันธมิตรฯระบุว่า
ที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหายที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ
การประกาศข้อกำหนด ข้อที่สอง ตามมาตรา 18 ที่ห้ามบุคคลใดเข้า
หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร
หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
และภายในระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของ กอ.รมน.
งานนี้จึงทำการยื่นฟ้องศาลปกครอง รวมทั้งยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน
เพื่อมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามมติ ครม.ดังกล่าวด้วย
เพราะการประกาศให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ตามมติ ครม.
ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคง ฯ จะกระทบต่อการชุมนุมของเครือข่าย
ประชาชนหัวใจรักชาติที่ตรวจสอบการบริหาร ราชการแผ่นดินของรัฐบาล
ซึ่งส่อว่าจะทำให้เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตย
เบื้องต้นศาลปกครองสูงสุด ได้รับคดีไว้พิจารณาเป็นหมายเลขดำ ฟ.11/2554
โดยจะมีคำสั่งว่าจะประทับรับฟ้องหรือไม่
และจะไต่สวนฉุกเฉินเพื่อพิจารณาคำสั่งทุเลาการบังคับมติ ครม. หรือไม่
แต่สุดท้ายศาลปกครองสูงสุด ก็ได้มีคำสั่งไม่รับฟ้องไปแล้ว
เพราะเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม
ภูมิคุ้มกัน และโชคของรัฐบาลยังคงสูงอยู่เหมือนเดิม
แต่กลุ่มม็อบพันธมิตรฯ ก็ไม่ใช่ประเภทหมูกลัวน้ำร้อน จึงลุยต่อ
โดยยื่นฟ้องนายภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อีกรอบ
แต่ครั้งนี้หันมาฟ้องศาลแพ่งแทน
โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตามพ.ร.บ.มั่นคงฯ
ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 9- 23 ก.พ.นี้ ให้เป็นโมฆะ
เพราะในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าว
ยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ถึงขนาดกับต้องมีมาตราการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้ง
หรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย
เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
เป็นแค่มุ่งที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม
ม็อบพันธมิตรฯ เท่ากับว่าจงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ
แต่รัฐบาลก็ไม่ยี่หระ
เพราะมีการต่ออายุการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงประกาศต่อเนื่องออกไปอีก
ลากยาวถึง 25 มีนาคมกันเลยทีเดียว
ประลองกำลังกันสนุก ว่า
ในระบบกฎหมายประเทศนี้ ใครจะแน่กว่ากัน โดยที่มีศาลแพ่งรับบทเหนื่อยหนัก
และที่น่าสนใจก็คือ ชนะหรือแพ้สำหรับกับกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ อาจจะไม่สำคัญ
แต่สะใจตรงที่ ได้มีการนำหมายศาลไปปิดไว้หน้าทำเนียบ
เพื่อเรียกให้นายอภิสิทธิ์ และ พล.ต.อ.วิเชียร ไปขึ้นให้ปากคำ
ถือเป็นการลบเหลี่ยมลูกกำนันกันตรงๆ
เพราะนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นที่รู้กันชัดเจนว่าได้รับการอุ้มชูจากหลายๆฝ่ายในกลุ่ม”อำนาจพิเศษ”
เมื่อมาเจอหมายศาลปิดหน้าทำเนียบเช่นนี้ ย่อมเท่ากับว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก
มีภูมิคุ้มกันสูงขนาดนี้ โดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบได้อย่างไร
งานนี้แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ไปเองตามหมายศาล
แต่ส่งตัวแทนไป ในขณะที่ พล.ต.อ.วิเชียร นั้นไปด้วยตัวเอง
การต่อสู้ระหว่างรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ
ดูแล้วเป็นคู่ต่อสู้ที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันจริง ว่าใครจะเส้นใหญ่กว่ากัน
ใครจะมีภูมิคุ้มกันในระบบยุติธรรมมากกว่ากัน!!!
เพราะเมื่อโดนกลุ่มม็อบพันธมิตรฯฟ้องจนเสียหน้า
เนื่องจากโดนหมายศาลแปะหน้าทำเนียบแบบนี้
ทาง ผบ.ตร.ก็เลยมีการจี้ให้เร่งดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
จากกรณีม็อบพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ให้เร็วขึ้นแล้ว
ซึ่งทางกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ โดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็เดินหน้าแลกหมัดแล้วว่า
การตั้งข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจรนั้นรุนแรงเกินความเป็นจริง
ฉะนั้นหากทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายและซ่องโจร
ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ก็จะดำเนินการฟ้องกลับเช่นกัน!!!
แต่.....ในที่สุด รัฐบาลเส้นใหญ่ ก็ออกมา”สั่งสอน” ม็อบมีเส้นชนิด”ตาต่อตา”อย่างทันทีทันควัน
ซึ่งเป็นไปตามคาด เมื่อ เช้ามืดฟ้ายังไม่ทันรุ่งสาง 05.00 น โดย ตำรวจเข้ารื้อเต็นท์ชุมนุมพันธ
มิตรฯ - ยึดถนนคืน 2 เลน
กรณี”เอาคืน” ทันควัน-ทันตาเห็น ของ อภิมหารัฐบาลเส้นใหญ่ เกิดขึ้น
เมื่อ วันที่ 28 ก.พ. 2554 เวลาประมาณ 05.30 น.
บรรยากาศที่เวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย
พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 นำกำลังตำรวจประมาณ 700 นาย
ซึ่งเป็นหน่วยของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองปราบปราม
และตำรวจภูธรภาค 1-2-7 และตำรวจสายสืบจากกองบังคับการ 1-9
ศูนย์สืบสวน เข้ารื้อเต็นท์ประมาณ 5-6 เต็นท์
พร้อมกับเปิดการจราจรหน้ากระทรวงศึกษาธิการ 2 เลน ให้รถวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามา
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ซึ่งยังอยู่บนเทีพันธมิตร ก็ยังปากแข็งประกาศว่า
ตำรวจรื้อเต็นท์เราออกไปเราถือว่าทำตามคำสั่ง
“แต่ขออย่ารื้อห้องน้ำของเรา” เพราะเป็นเงินประชาชน
เราใช้ตามความจำเป็น
เนื่องจากไม่อยากรบกวนกรุงเทพฯ ที่ต้องเอารถสุขามา
จึงได้สร้างขึ้นมาเอง คนมามากไม่มีห้องน้ำจะทำอย่างไร
อีกอย่างห้องน้ำของเราสะอาดไม่มีกลิ่นเหม็น
หลังกำลังตำรวจบุกรื้อเต๊นท์ม็อบมีเส้น
พล.ต.จำลอง ก็ยังไม่ยอมลดรา ฉวยไมโครโฟนประกาศทันทีว่า
ประชาชนที่อยู่ทางบ้านไม่ต้องมามากเป็นพิเศษ ถึงแม้เรารู้ว่ามากกว่านี้ก็ดี
แต่ยังไม่จำเป็น เมื่อถึงเวลา”จะเป่านกหวีดเอง”
เราอยู่แค่นี้ก็พอเป็นพอไป ยังไม่จำเป็นต้องมามืดฟ้ามัวดิน
แต่ใกล้เข้ามาแล้ว ขอให้มาเป็นปกติก็แล้วกัน
จัดเวรกันมา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริง ออกมาให้มากๆ
เราสามารถเอาแผ่นดินรอบเขาวิหารกลับมาได้แน่นอนหากเราชุมนุมกันอยู่อย่างนี้
สรุปว่า...
กำลังตำรวจตั้ง 700 คนก็สามารถ”ขอพื้นที่คืน” หรือ”กระชับพื้นที่”ได้เพียงเท่าที่เห็น
ม็อบพันธมิตรก็ยังตั้งหลักอยู่ตรงที่เดิมแถวสะพานมัฆวานอยู่เหมือนไม่มีเกิดขึ้นต่อไป
มองอย่างไรเรื่องนี้ ก็หนีไม้พ้น”การเอาคืนของฝ่ายรัฐบาล” เพราะ”เสียหน้า”
ที่ถูก นาย ชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ บังอาจเอาหมายศาลไปแปะไว้หน้าที่ทำเนียบรัฐบาล
เหมือนจะฉีกหน้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ก็บอกแล้วว่า เป็นคู่ฟัดที่เหมาะสมอย่างยิ่งจริงๆ
เพราะกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษยังมึนไปเลยว่า แบบนี้จะช่วยฝ่ายไหนดี???
หวานเจี๊ยบบบบ
7 hours ago