WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, April 9, 2011

กลยุทธ์สู้ศึก"ยุบรวม-จับมือ" พรรคเล็กหนีตายหรือเกมต่อรอง

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ รายงานพิเศษ


สถานการณ์การเมืองเข้าสู่โหมดเลือกตั้งอย่างจริง จัง บรรดาพรรคขนาดกลาง พรรคเล็ก ประกาศร่วมกันทำงานการเมืองอย่างเปิดเผย

ทั้งการประกาศจับมือกันของพรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย

กระทั่งล่าสุด การรวมพรรคในทางพฤตินัยระหว่างรวมชาติพัฒนากับเพื่อแผ่นดิน

เป้าหมายของการเคลื่อนไหวดังกล่าว มีเจตนาเพื่ออะไร

วิทยา แก้วภราดัย

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคใต้

การรวมพรรค หรือประกาศจับมือกันของพรรคเล็ก เป็นปรากฏการณ์ปกติเพื่อเตรียมรับมือการเลือกตั้งและหวังได้เป็นพรรคขนาดกลางมี 20-50 เสียง เพื่อเป็นตัวหลักในการตั้งรัฐบาล

การเมืองขณะนี้ทุกฝ่ายประเมินว่า จะไม่มีใครได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ พรรคขนาดนี้จะใช้เจรจาได้ และไปได้กับทุกขั้ว

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้หวั่นไหวกับปรากฏการณ์ดังกล่าว ถือเป็นปรากฏการณ์ ธรรมดาที่เราเปลี่ยนคู่แข่งมาเรื่อยๆ ไม่รู้จักกี่พรรค ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ต้องตกใจอะไรแล้ว เพราะผ่านอย่างนี้มาหลายรอบแล้ว

จากนี้ไปอาจจะเห็นปรากฏการณ์ที่มากกว่านี้ การเคลื่อนไหวก็จะยังมีมากกว่านี้ ยังไม่จบ

ส่วนการซื้อตัวส.ส. โอกาสเกิดเป็นไปได้เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต พรรคก็เคยโดนมาแล้ว ซื้อด้วยตัวเลขเท่านั้นเท่านี้แต่เราไม่ไปก็ออกมาพูดกัน ครั้งนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้น และทางเราก็จะไม่ทำ



พิเชต สุนทรพิพิธ

อดีตส.ว.สรรหา


การเมืองบ้านเรามีหลายพรรคมากเกินไป ไม่เหมือนประเทศอื่น ที่มีเพียง 2-3 พรรคเท่านั้น แต่บ้านเรามี 2 พรรคใหญ่ และมีพรรคเล็กหลายพรรค และ 2 พรรคใหญ่ ก็ไม่มีพรรคใดที่ได้เสียงข้างมากถึงขนาดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ต้องขอความร่วมมือกับพรรคเล็กเพื่อตั้งรัฐบาลผสม

พรรคที่เล็กเกินไปก็ไม่มีน้ำหนัก แต่พรรคเล็กที่พอมีหน้ามีตาขึ้นมาหลังจับมือกัน เช่น พรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา จนกลายเป็นพรรคใหญ่ขึ้น มีหน้ามีตา มีน้ำหนักมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่า เพิ่มอำนาจในการต่อรอง หรือจะเรียกว่าหนีตายก็ได้ เหตุการณ์แบบนี้จะเป็นไปอีกระยะหนึ่ง และตราบใดบ้านเรายังแบ่งเป็นก๊ก เป็นก๊วนการเมืองอยู่

การร่วมมือทางการเมืองของพรรครวมชาติพัฒนากับพรรคเพื่อแผ่นดิน ไม่น่าจะเป็นการเด็ดขาด หนักแน่น เนื่องจากเพื่อแผ่นดินก็ให้สัมภาษณ์ว่า มีสมาชิกพรรคส่วนหนึ่งที่ยังรักษาพรรคไว้ จึงไม่ได้เป็นการยุบรวมพรรคแบบถาวร จึงมีโอกาสแตกออกมาได้ทุกเมื่อ

เลือกตั้งครั้งหน้าหากประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล ก็คงไม่อยากฟอร์มรัฐบาลที่มาจาก 4-5 พรรค เพราะจะทำให้มีรัฐมนตรีกระจายออกไป จากที่มีแค่ภูมิใจไทยและชาติไทยพัฒนา ที่พออยู่แล้ว แต่อาจต้องมีรวมชาติพัฒนาและเพื่อแผ่นดินเข้ามาร่วมอีก

เมื่อเป็นแบบนี้ พรรคเล็กจึงจับทางถูก และหันมาร่วมกันสร้างอำนาจต่อรอง ซึ่งทั้งประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ต้องจับมือกับพรรคเล็ก ใครได้เสียงมากกว่าก็จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล

การเคลื่อนไหวของพรรคเล็กจึงต้องจับมือกันเอาไว้ หากฝั่งไหนเสียงขาดก็ต้องมาขอความร่วมมืออยู่ดี จุดนี้จึงทำให้พรรคเล็กๆ เข้ามามีอำนาจต่อรอง และหากทำให้พรรคขนาดเล็กกลายเป็นพรรคขนาดกลางได้ ก็จะเป็นจุดดึงดูดให้ฝ่ายตั้งรัฐบาลดึงเข้าร่วม จนมีอำนาจต่อรอง และครองตำแหน่งรัฐมนตรี สำคัญๆ ได้

การรวมตัวกันของพรรคเล็ก ยังสามารถป้องกันการดูดส.ส.ไปอยู่พรรคใหญ่ได้ เพราะการรวมกันจะทำให้พรรคใหญ่ขึ้น ได้รับเงินรายเดือนที่พรรคมอบให้มากขึ้นกว่าตอนที่อยู่พรรคเล็ก ยิ่งพรรคใหญ่ยิ่งมีเงินสนับสนุนพรรคมาก

การร่วมมือกันทางการเมืองเป็นสิ่งที่ดี ใจจริงอยากให้มี 2-3 พรรคเท่านั้น เพื่อให้การเมืองมีการสลับขั้วหมุนเวียนกันมากกว่า ทำ งานและสร้างพรรคการเมืองให้กลายเป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคนั้นเป็นของนาย ก นาย ข หรือนาย ค



สมชาย ปรีชาศิลปกุล

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่


คนทั่วไปก็มองออกอยู่แล้วว่าโอกาสที่ 2 พรรค ใหญ่จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง หรือคุมเสียงข้างมากในสภาเป็นเรื่องยาก ในแง่นี้พรรคขนาดเล็ก หรือพรรคขนาดกลางก็มีความสำคัญมากขึ้น การจับมือกันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง

ประเด็นต่อมาคือ ระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นระบบที่ทำให้พรรคขนาดเล็กเสียเปรียบมาก อย่างระบบส.ส.สัดส่วน การเลือกตั้งของกทม. ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ได้คะแนนราว 9 แสน เพื่อไทยราว 7 แสน พรรคการเมืองใหม่ราว 1 แสน

ถ้ามองตามปกติแล้วพรรคการเมืองใหม่ก็ควรจะได้ที่นั่งบ้าง แต่นี่กลับไม่ได้สักที่นั่ง ในขณะที่ประชาธิปัตย์ได้ที่นั่งกว่าร้อยละ 70 แสดงให้เห็นว่าระบบการเลือกตั้งแบบนี้โน้มเอียงไปที่พรรคใหญ่ ขณะที่พรรคเล็กๆ จะเริ่มตายลง และกลายเป็นพรรคท้องถิ่นไปแทน

ส่วนกระแสพรรคทางเลือกที่ 3 เพื่อแบ่งเสียงจากคนที่เบื่อการขับเคี่ยวระหว่าง 2 พรรคใหญ่ ก็เห็นว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจมากกว่า อย่างพรรครักษ์สันติ ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่เสนอตัวเป็นทางเลือกในเชิงบุคคล เรายังไม่เห็นนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม

และการเน้นชูตัวบุคคลหาเสียงมาก ระยะยาวจะอยู่ไม่ได้หากไม่ทำนโยบายและระบบบริหารที่เป็นระบบ พรรคเหล่านั้นก็จะตายลงไปเรื่อยๆ

แนวโน้มการเลือกตั้งในครั้งนี้น่าจะเลือกกันที่ตัวบุคคลและนโยบายอย่างละครึ่ง เพราะที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่าตัวบุคคลมีส่วนสำคัญที่จะทำให้นโยบายเป็นจริงขึ้นมา

อีกประเด็นคือนโยบายของแต่ละพรรคไม่ได้แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว พรรคหนึ่งประชานิยม อีกพรรคก็ประชานิยมกว่า นอกจากนี้กระแสการเมืองท้องถิ่นก็น่าจะมาแรง ช่วงหลังๆ จะเห็นตัวอย่าง เช่น ในพื้นที่อีสานว่าการเมืองท้องถิ่นก็เป็นฐานอำนาจที่สำคัญ

การรวมตัวของพรรคเล็กๆ หรือพรรคกลางในขณะนี้ก็อาจจะแตกกันได้ภายหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ให้เอกสิทธิ์กับ ส.ส.มากกว่าพรรค สามารถลงคะแนนเสียงคัด ค้านแนวโน้มการโหวตของพรรคในสภา



ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

อดีตประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย


การรวมตัวกันของพรรคขนาดเล็กเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทั่วไป เพราะพรรคระดับนี้ถูกกันในการเลือกตั้งได้ง่าย จึงต้องการร่วมมือกันซึ่งอาจจะเพื่อต่อรองการเลือกตั้ง หรือรวมกันทำพื้นที่ไม่ให้เกิดความทับซ้อน

แต่การรวมพรรคกันเพื่อส่งผู้สมัครในชื่อพรรคๆ เดียว ย่อมทำให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพมากกว่า อย่างเพื่อแผ่นดินกับพรรครวมชาติพัฒนา แต่กรณีพรรคภูมิใจไทยกับพรรคชาติไทยพัฒนา เป็นเพียงการรวมกันด้วยปาก อาจเป็นท่าทีที่ว่าหลังเลือกตั้งจะไปไหนไปด้วยกัน อันนี้ก็เพื่อสร้างแรงต่อรอง

แต่ผมว่าก็ยังมีปัญหาเพราะผลเลือกตั้งก็ยังไม่รู้ หากต่อไปพรรคแกนนำรัฐบาลต้องการแค่พรรคชาติไทยพัฒนา แต่ไม่ต้องการพรรคภูมิใจไทย เพราะมองว่าเสียงพอแล้ว อย่างนี้จะทำอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าชาติไทยพัฒนาก็ต้องไปร่วมด้วย คงไม่ยอมไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคภูมิใจไทยแน่ๆ

ส่วนที่มองว่ารวมตัวกันเพื่อป้องกันการโดนดูดจากพรรคใหญ่ คงไม่ใช่ เพื่อไทยไม่ไปดูดใครอยู่แล้ว ตอนนี้ผู้สมัครเราล้นพรรค น่าจะเป็นเรื่องการรวมพลังต่อรอง

การรวมตัวของพรรคต่างๆ ขณะนี้ ยังไม่มีผลกระทบอะไรกับเพื่อไทย เหนือตอนบน ภาคอีสานที่เป็นฐานเสียง ประชาชนยังให้ความนิยมเรามาก เหมือนอย่างที่ภาคใต้นิยมประชาธิปัตย์

จึงมองไม่เห็นว่าการรวมตัวของพรรคขนาดเล็กจะส่งผลกระทบอะไร เพราะเท่าที่ดูก็ได้แค่พื้นที่ที่มีส.ส.เดิมเท่านั้น