WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, April 7, 2011

พุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีที่ ‘พุทธปรัชญา’ หายไป

ที่มา ประชาไท

ในขณะที่นักคิดตะวันตกมองว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ Religion แต่เป็น philosophy of life แต่ชาวพุทธบ้านเราปฏิเสธว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา โดยให้เหตุผลว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่การเก็งความจริงด้วยเหตุผล หรือการอ้างเหตุผลโต้แย้งเพื่อแสวงหาความรู้เพื่อความรู้ที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติเหมือนปรัชญา

แต่ที่จริงแล้วคำว่า “ปรัชญา” นั้นมีหลายนิยาม และที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ปรัชญาหมายถึงโลกทัศน์ ชีวทัศน์ หรือกรอบความคิดที่มนุษย์เราใช้ในการมองโลกและชีวิต หรือให้ความหมายของโลกและชีวิตที่เป็นพื้นฐานของการกำหนดเป้าหมายและวิถีของสังคมและวิถีการดำเนินชีวิตของปัจเจกบุคคล

ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ปรัชญาหมายถึง “กิจกรรมทางปรัชญา” ได้แก่ การใช้เหตุผลโต้แย้งหรือซักไซ้ไล่เรียงอย่างถึงที่สุดเพื่อทำความเข้าใจปัญหาพื้นฐานต่างๆ เช่น ปัญหาว่าอะไรคือความจริง ความรู้ การมีชีวิตที่ดี สังคมการเมืองที่พึงประสงค์ สิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรม คืออะไร เป็นต้น

จากนิยามดังกล่าว ปรัชญาจึงเกี่ยวข้องโดยตรงกับการมีชีวิตและสังคมที่ดี เพราะการมีชีวิตที่ดีและสังคมที่ดีจะเป็นไปได้ เมื่อเราเข้าใจความหมายของการมีชีวิตและสังคมที่ดีในระดับที่สามารถนำมาใช้เป็นโลกทัศน์ ชีวทัศน์ที่กำหนดทิศทางของการการดำเนินชีวิตและการสร้างสรรค์สังคมของเรา

ส่วนปรัชญาในความหมายของ “กิจกรรมทางปรัชญา” ก็เป็นเรื่องของกระบวนการปฏิบัติเพื่อสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ การใช้เหตุผล วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย

ฉะนั้น การปฏิเสธปรัชญาว่าไม่ใช่เรื่องของการปฏิบัติจึงไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ความจริงแล้วการปฏิบัติธรรม หรือการดำเนินชีวิตในทางพุทธศาสนาก็ย่อมเป็นไปตามกรอบโลกทัศน์ ชีวทัศน์แบบพุทธ หรือ “พุทธปรัชญา” นั่นเอง เช่น กรอบโลกทัศน์ ชีวทัศน์ตามหลักอริยสัจ ไตรลักษณ์ ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น

ปัญหาของพุทธศาสนาในบ้านเราจึงยู่ที่ว่าพุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์กำลังทำให้ “พุทธปรัชญา” หายไปหรือไม่? พูดให้ตรงคือเราเหลือแต่รูปแบบพิธีกรรมที่ปลูกฝังความเชื่อที่ไม่ได้เชื่อมโยง หรือก่อให้เกิดโลกทัศน์ ชีวทัศน์แบบพุทธอีกแล้วหรือไม่?

เมื่อเราเข้าไปที่สวนโมกข์ เราย่อมสัมผัสได้ถึงโลกทัศน์ชีวิทัศน์แบบพุทธตั้งแต่ความเรียบง่าย ร่มรื่น สงบเย็น บรรยากาศของการท้าทายทางปัญญาจากบุคลิกภาพของท่านพุทธทาส และผลง่านต่างๆ ของท่าน เช่น โรงมหรศพทางวิญญาณ และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดสรุปความหมายสำคัญได้ว่า วัดและกิจกรรมทางศาสนาบรรดามีล้วนแต่สะท้อนถึงหรือเป็นสิ่งแสดงออกซึ่ง “พุทธปรัชญา” หรือโลกทัศน์ ชีวิทัศน์แบบพุทธแทบทั้งสิ้น

แต่พุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน เช่น การทอดกฐินที่เน้นยอด 10 ล้าน 20 ล้าน การสร้างวัตถุที่ใหญ่โตอลังการ รูปแบบการปฏิบัติธรรมที่ผูกติดกับการปลูกฝังความเชื่อเรื่องการทำความดีที่หมายถึงการทำบุญซึ่งเน้นวัตถุประสงค์จำเพาะเพื่อการ “มีชีวิตที่สุขสบาย” ในโลกนี้และโลกหน้า เป็นต้น กลับเป็นสิ่งสะท้อนหรือเป็นที่แสดงออกซึ่งโลกทัศน์ชีวทัศน์แบบสุขนิยม หรือบริโภคนิยมสุดโต่ง (เน้นคุณค่าของชีวิตที่ขึ้นอยู่กับความสุขสบายพรั่งพร้อมในโลกนี้ และแถมความสุขสบายในโลกหน้าแบบไม่อั้น ถ้าคุณบริจาคทำบุญแบบไม่อั้น)

กลายเป็นว่าพุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์ในปัจจุบันทำให้ “พุทธปรัชญา” หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยปรัชญาสุขนิยมและบริโภคนิยมสุดโต่ง !

พูดอีกอย่างคือ “ความดี” ที่ปลูกฝังกันในพุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์ไม่ใช่ความดีตามกรอบโลกทัศน์ ชีวทัศน์แบบพุทธ หรือตามกรอบพุทธปรัชญา ที่หมายถึงความดีที่สนับสนุนการดับทุกข์ในชีวิตของปัจเจกบุคคลและทุกข์ทางสังคม หากแต่เป็นความดีที่มีความหมายในเชิง “สั่งสมบุญกุศลเพื่อดลบันดาล” ให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดสิริมงคลในชีวิตซึ่งมีเป้าหมายรวบยอดอยู่ที่ “ความสุขสบายส่วนตัว”

ส่วน “คนดี” ที่พุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์สร้างขึ้น ไม่ใช่ “คนดีเชิงสังคม” ที่มีจิตสำนึกเรียนรู้ปัญหาและมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น หากแต่เป็น “คนดีเชิงศาสนา” ที่มีความหมายจำเพาะว่าเป็นผู้ศรัทธาต่อแนวทางของวัด รับใช้วัด ขยายความดีในแนวทางของวัดออกไปสู่มหาชนกระทั่งสู่โลกตามแนวทางการสร้าง “เครือข่ายบุญ” แบบกรรมการกฐิน ผ้าป่า จนกระทั่งพัฒนามาเป็น “เครือข่ายบุญแบบขายตรง” เป็นต้น

นอกจากนี้ “พุทธศาสนาจารีตประเพณีแบบทางการ” ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ของ “ระบบอำนาจนิยม” สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจนิยมดังที่ปลูกฝังกันว่าราษฎรต้องเคารพยำเกรงเชื่อฟัง “ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่” เป็นต้น จนแม้เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยมา 79 ปี รูปการจิตสำนึกดังกล่าวยังยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง

จะว่าไปแล้ว เพราะพุทธปรัชญา หรือกรอบโลกทัศน์ ชีวทัศน์แบบพุทธหายไปแล้วจากพุทธศาสนาแบบจารีตประเพณี (ทั้งเชิงพาณิชย์ ทางการ และแม้แต่รูปแบบสมถะเคร่งครัด?) ฉะนั้น พุทธศาสนาแบบจารีตประเพณีที่เป็นอยู่จึงไม่เคยมีบทบาทแก้วิกฤตความรุนแรงใดๆ เลยในประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในสังคมไทยที่ผ่านมา

ซ้ำร้ายกลับปรากฏว่า มีชาวพุทธที่เป็นปัจเจกบุคคลทั้งที่เป็นปราชญ์และพระสงฆ์ ออกมาแสดงบทบาทสนับสนุนระบบอำนาจนิยม เช่น หลวงวิจิตรวาทการ ที่ตีความพุทธศาสนารับใช้เผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กิตติวุฑฺโฒภิกขุ เจ้าของวาทะ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ได้บุญมากกว่าบาป” ล่าสุดคือจำลอง ศรีเมือง (ผู้กินมังสวิรัติ) ที่เรียกร้องให้ใช้ “กฎอัยการศึก” จัดการกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ในปีที่ผ่านมา และกำลังเรียกร้อง “ระบอบอะไรก็ได้ (?)” ขอให้ได้ “คนดีมีศีลธรรม(?)” มาปกครองบ้านเมือง

อันที่จริงคนที่เข้าใจความหมายของ “ความเป็นมนุษย์” ตามกรอบคิดเรื่อง “เสรีภาพ” และ “ความเสมอภาค” ยังแสดงออกถึงความเคารพคุณค่าของมนุษย์ แสดงออกถึงการมี “หัวใจ” เจ็บปวดกับการเข่นฆ่าประชาชนมากกว่าชาวพุทธที่เคร่งครัดด้วยซ้ำ

เช่น คนไม่มีศาสนาอย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ที่ออกมาเตือนแกนนำเสื้อแดงตรงๆ ว่า “แม้จะได้การเลือกตั้งมาด้วยการแลกชีวิตประชาชนเพียง 1 คน ก็ไม่คุ้มค่าเลย” แต่พระสงฆ์และชาวพุทธส่วนใหญ่กลับ “วางเฉย” ต่อการเข่นฆ่าประชาชน

ที่น่าเศร้าคือ ระหว่างเก็บข้อมูลวิจัย ผมได้พูดคุยกับผู้ปฏิบัติธรรมและพระสงฆ์ที่มีการศึกษาระดับปริญญาเอกบางรูปกลับมองว่า ปรากฏการณ์ความรุนแรงและการเข่นฆ่าประชาชนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่อง “กรรมของสัตว์โลก!”

นี่คือบางตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า มิติทางจิตวิญญาณ และมิติทางสังคมตามกรอบ “พุทธปรัชญา” หายไปแล้วจากพุทธศาสนาแบบจารีตประเพณี ไม่ว่าจะเป็นพุทธจารีตประเพณีแบบทางการ พุทธจารีตประเพณีเชิงพาณิชย์ และแม้แต่พุทธจารีตประเพณีแบบสมถะเคร่งครัด!