ที่มา thaifreenews
โดย bozo
เปิดใจเหยื่อสลายชุมนุมแดงทั้ง"โหด-หิน-อยุติธรรม"
ถึงข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล"ยิ่งลักษณ์"ในการเยียวยา
ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นางเล็ก บุญวิจิตร ภรรนายประยุทธ์ บุญวิจตร
ผู้ที่ถูกจับระหว่างการชุมนุมเมื่อปี2553 ที่จ.เชียงใหม่
นางอุดม เมฆขุนทด ภรรยานายสมศักดิ์ อ่อนไสว
ถูกจับในคดีความขัดแย้งทางการเมืองปี 2551 ที่จ.เชียงใหม่
นายกฤษณะ ธัญชัยพงศ์ หนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุมและศาลตัดสินให้จำคุก 1 ปี
ด้วยข้อหาละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อเดือนพ.ค.ปี2553
นางสมศรี สงวนศรี ภรรยานายคำหล้า ชื่นชม ถูกจับข้อหาปล้นปืน
บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงระหว่างการชุมนุมพ.ค.ปี2553
รับชมข่าว VDO
http://www.matichon.co.th/mtc-flv-window.php?newsid=1313668033
วันที่ 18 ส.ค. 2554 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
ได้มีการแถลงข่าวรวมถึงแถลงการณ์เรียกร้องต่อรัฐบาล
ในการนี้ ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้รายงานข้อมูลผู้ต้องขังที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองว่า
ปัจจุบันมีตัวเลขผู้ต้องขังทั่วประเทศที่ถูกจับกุมนับตั้งแต่วันที่12มี.ค.53
ทั้งหมด 15 เรือนจำ รวมทั้งสิ้น 86 คน แบ่งเป็นชาย 78 คน หญิง 8 คน
ในนี้เป็นชาวกัมพูชาด้วย 1 คน
ส่วนสถานะทางคดีนั้น อยู่ในศาลชั้นต้น 41 ราย ระหว่างอุทธรณ์หรือฎีกา 19 ราย
ถูกตัดสินไปแล้ว 26 ราย ส่วนผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง
นับตั้งแต่การรัฐประหารกันยายน พ.ศ.2549 มีทั้งสิ้น 20 คน ในที่นี้เป็นต่างด้าว 2 คน
สำหรับภาพรวมปัญหาในกระบวนการยุติธรรมหลังการสลายการชุมนุม
เมื่อเม.ย.-พ.ค. 2553 นั้น สามารถแยกเป็นปัญหาดังต่อไปนี้
การจับกุม/คุมขัง
เจ้าหน้าที่ได้มีการจับประชาชนโดยการตั้งข้อหาว่ากำลังจะไปร่วมชุมนุม
ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าไปในวันชุมนุม เช่น
รปภ.นายหนึ่งถูกจับกุมในวันที่เขาจะเข้าไปทำงาน จากการตั้งด่านตรวจเพียงพบว่า
เขาพกบัตร นปช.จึงทำการจับกุมและส่งตำรวจ ทั้งนี้ยังมีการนำของกลาง เช่น
หนังสติ๊ก, หัวน็อต, เหล็ก,ไม้ ,ลูกแก้ว, หมวกคลุมหน้า, ลูกระเบิด, ระเบิดขวด,
สินค้าจากร้านเซเว่นฯ ซึ่งไม่ได้พบในที่เกิดเหตุ
แต่ถูกมาวางไว้ต่อหน้าผู้ถูกจับและให้นักข่าวมาทำข่าว
และบังคับให้ชี้ว่าของกลางเป็นของผู้ถูกจับเอง มีการซ้อมทรมานในระหว่างการจับกุม เช่น
การจับกุมในเหตุการณ์เผาศาลากลางจังหวัดอุดรธานี และมุกดาหาร
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สั่งฟ้องโดยอาศัยเพียงภาพถ่ายในบริเวณที่ชุมนุม
โดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงว่า ได้กระทำผิดจริงหรือไม่ เช่น
กรณี ด.ต.สันติเวช ภูตรี ไปตามหาลูกสาวก่อนถูกตำรวจถ่ายภาพไว้
ต่อมาตำรวจสั่งฟ้องโดยอาศัยเพียงแค่ภาพถ่าย
ทำให้ด.ต.สันติเวช ถูกต้นสังกัดตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่ากระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
หรือกรณีเผาศาลากลางในต่างจังหวัด
ได้มีประชาชนจำนวนมากถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและตกเป็นจำเลย
เพียงเพราะมีภาพถ่ายอยู่ในเหตุการณ์ชุมนุมเท่านั้น
จากเหตุการณ์ชุมนุม หลายครอบครัวต้องหาหลักทรัพย์ไปประกันตัวด้วยเงินกู้นอกระบบ
แต่หลังจากนั้นปรากฎว่าอัยการไม่สั่งฟ้อง กรณีเช่นนี้ รัฐจะไม่จ่ายค่าชดเชยให้
เพราะยังไม่ตกเป็นจำเลย แต่ผู้ถูกจับกุมได้รับผลกระทบต่างๆ ในช่วงที่ถูกคุมขัง
และมีหนี้สินจากการกู้เงินมาประกันตัวระหว่างดูแลผู้ที่ถูกจับกุมจำนวนมาก
การรับสารภาพของจำเลย
เนื่องจากคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ดังนั้น
ในทางกฎหมายวางหลักไว้ว่า หากจำเลยรับสารภาพ
ศาลก็จะอาศัยเพียงคำรับสารภาพของจำเลย
โดยที่ไม่ต้องสืบพยานและหลักฐานประกอบคำรับสารภาพ ดังนั้น
คดีของผู้ชุมนุมเสื้อแดง ต้นตอของการรับสารภาพจึงมาจากหลายสาเหตุ ได้แก่
หลายรายถูกข่มขู่และซ้อมทรมาน,
ไม่มีโอกาสได้พบญาติหรือปรึกษาทนายความ,
ตำรวจจูงใจว่า หากรับสารภาพ ศาลก็จะรอลงอาญาเพราะโทษไม่สูง
ขณะที่บางรายถูกบังคับให้เซ็นเอกสารในการจับกุมและสอบสวน
โดยไม่มีโอกาสได้อ่านเอกสารหรืออ่านไม่ออก เช่น ในคดีเผาศาลากลางมุกดาหาร
การตั้งข้อหาของชั้นตำรวจหรือดีเอสไอ
ได้มีการตั้งข้อหาร้ายแรงเกินความเป็นจริง เช่น
ร่วมกันปล้นทรัพย์เซ็นทรัลเวิลด์ โดยมี
หรือใช้อาวุธยิงต่อสู้เจ้าพนักงาน
หรือวางเพลิงเผาศาลากลางหรือเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นเหตุให้คนตาย
ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต
อีกทั้งพบว่า คดีที่ดีเอสไอทำสำนวนสอบสวนจะมีข้อหาหนักมาก
กระบวนพิจารณาชั้นศาล
ในคดีที่จำเลยรับสารภาพไม่มีทนายความ และไม่ประสงค์ให้ตั้งทนายความ
เพราะกลัวว่าทนายจะไม่ทำคดีให้เต็มที่เนื่องจากไม่รู้จัก
ส่งผลให้คดีเด็ดขาดมีจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีโทษสูงถึง 1 ปี 12 เดือน
ส่วนคดีที่จำเลยปฎิเสธ ศาลมักลงโทษในอัตราสูง เช่น
กรณีของนายประสงค์ มณีอินทร์
และนายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ ศาลอาญาตัดสินจำคุก 11 ปี 8 เดิอน
ในคดีที่ยังไม่เด็ดขาดนั้น จำเลยขอประกันตัวหลายครั้ง แต่ศาลก็ไม่ให้ประกันตัว
แม้จำเลยจะได้รับความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันจากกองทุนยุติธรรม
และวงเงินในการประกันตัวก็สูงมาก ศาลมักอ้างว่าคดีอัตราโทษสูง
หากให้ประกันตัวเกรงว่าจะหลบหนี เป็นต้น
จำเลยบางคนถูกฟ้องมากกว่า 1 คดี วงเงินประกันก็สูงขึ้น
เป็นเหตุให้จำเลยบางคนไม่เคยใช้สิทธิในการยื่นขอประกันตัวเลย
เพราะไม่มีเงินหรือหลักทรัพย์ เช่น นายสายชล แพบัว
จากการที่ศาลไม่ให้ประกันนั้น ทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนถูกคุมขังเป็นเวลานาน
ทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด หรือถูกขังเกินโทษของตน เช่น
นายอำนวย ชำนาญแก้ว,
นายไสว ยางสันเทียะ ถูกขังรวม 10 เดือน
ก่อนที่ศาลจะพิพากษายกฟ้อง รวมถึงกรณีของ
นายสมพล แวงประเสริฐ ถูกขังนาน 5 เดือน สุดท้ายศาลยกฟ้อง
และนายธนูศิลป์ ธนูทอง คดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลฯ
ซึ่งนายตำรวจผู้รับผิดชอบออกมายอมรับต่อ คอป.ว่าจับผิดตัว ศาลก็ยังไม่ให้ประกัน
กรณีรัฐฟ้องเยาวชน
รัฐได้สั่งฟ้องเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีเป็นจำเลย
ด้วยข้อหาร้ายแรงและมีโทษถึงประหารชีวิต
ในข้อหาร่วมกันวางเพลิงเผาเซ็นทรัลเวิลด์จนเป็นเหตุให้คนตาย,
ร่วมกันปล้นทรัพย์เซ็นทรัลเวิลด์โดยใช้อาวุธ,
ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน แม้ว่าทั้งสองคนจะได้ประกันตัว
แต่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต เช่น
ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้เต็มที่
ขณะที่รายหนึ่งแม่เสียชีวิตแล้ว ส่วนพ่อมีภรรยาใหม่ ต้องทำงานหาเลี้ยงตนเอง
อย่างไรก็ตาม ในการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงนั้น พบว่า
ชาวบ้านในต่างจังหวัดไม่รู้ว่ามีหน่วยงานใดบ้าง
และไม่รู้ขั้นตอนว่ามีเงื่อนไขเรื่องเวลา หรือจำนวนเงินที่ช่วยเหลือไม่เพียงพอ
โดยเฉพาะกรณีที่หัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตหรือพิการ
บางรายแพทย์ไม่ร่วมมือในการออกใบรับรองแพทย์
หรือรายงานไม่ตรงกับอาการ เช่น
นางสมพาน พุทธจักร ถูกยิงบริเวณบ่อนไก่ กระสุนเข้าที่หลัง โดนลำไส้เล็ก ตับ และไต
ได้เงินเยียวยาจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพียง 2,800 บาท
เพราะใบรับรองแพทย์ระบุว่ารักษาอยู่ในรพ.แค่ 14 วัน
ซึ่งในความเป็นจริงต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง
และมีภาระต้องดูแลลูกอีก 3 คน
นอกจากนี้ขั้นตอนในการพิจารณาและการเบิกจ่ายเงินยังล่าช้าหรือมีการหยุดจ่ายอีกด้วย
จากประสบการณ์การถูกจับกุมจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง
นายกฤษณะ ธัญชัยพงศ์ หนึ่งในผู้ที่ถูกจับกุมและศาลตัดสินให้จำคุก 1 ปี
ด้วยข้อหาละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว เล่าว่า
ที่ผ่านมาตนไม่ได้รับความยุติธรรมเลย
เพราะเท่าที่ไปชุมนุมก็ไม่ได้ทำผิดอะไร อีกทั้งตนเป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่ง
ที่ต้องการเข้าไปแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
โดยขึ้นปราศรัยที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่16พ.ค.53
แต่ในระหว่างเดินทางกลับบ้านกับรุ่นน้องอีก 2 คน มีด้านตั้งสกัดจับ
ซึ่งตนเข้าใจว่าถูกชี้เป้ามาก่อนหน้านี้
สิ่งที่ได้พบหลังจากนั้นก็คือว่า ทหารได้เค้นถามเพื่อต้องการความจริงบางอย่าง
และพยายามเค้นถามถึงเหตุการณ์ในการชุมนุม มากกว่านั้นก็คือว่า
ทหารเหล่านั้นได้ใช้ความรุนแรง ทั้งตบ เตะ ใช้วาจาข่มขู่
มีการมัดมือมัดเท้า ให้หันหน้าเข้ากำแพงและปิดตา
ขณะเดียวกันก็มีหน่วยโหด 4-5 คน ตามที่กลุ่มทหารเหล่านั้นเรียกกัน ใส่ผ้าคลุมหน้า
แล้วเข้ามาบีบคอ เตรียมจุดไฟขู่ และอื่นๆ อีกสารพัด
และอ้างว่าเคยทำแบบนี้ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อน
ก่อนที่สื่อมวลชนมาถึง ก็ยังมีการข่มขู่อีกว่า
ไม่ให้เล่าเรื่องในสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ
เหมือนมีการทำตามใบสั่ง เพียงแค่ตนได้ปราศรัยบนเวทีโจมตีกลุ่มอำมาตย์
และเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทหารซุ่มยิงประชาชน ซึ่งตนเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
เมื่อคดีนี้ถึงตำรวจในเวลาต่อมาก็ถูกยัดเยียดข้อหาเพื่อให้คดีถึงที่สุด
รวมถึงการดำเนินคดีของตำรวจนั้นจะเป็นไปตามที่ทหารต้องการเลยก็ว่าได้
เสมือนเป็นการหนีเสือปะจระเข้ และวันต่อมาก็ถูกส่งไปศาลเพื่อพิพากษาคดี
แต่ที่น่าสังเกตก็คือว่า สำนวนที่สั่งฟ้องเป็นอีกสำนวนไปเลย
และได้รับการตัดสินแบบไม่มีอ่านคำพิพากษาด้วย
ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก
ซึ่งตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีก็ได้
เพราะจากการยื่นจดหมายร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปนั้น
ถูกเพิกเฉย ไม่ได้รับความสนใจ มากกว่านั้น
ได้มีคณะกรรมการสิทธิฯคนหนึ่งเข้ามาที่เรือนจำ
ทั้งๆ ที่เป็นวันเสาร์ เพียงเข้ามาบอกว่าอย่าพูดอย่างนั้นอย่างนี้
ซึ่งแสดงถึงความไม่ยุติธรรม
ขณะเดียวกันยังมีความผิดปกติในการทำงานของคณะกรรมการสิทธิ
นอกจากนี้ ภรรยาของผู้ที่ถูกคุมขัง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
อยากเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ เข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าว
เนื่องจากว่าครอบครัวขาดเสาหลักในการหารายได้ ทั้งนี้
การถูกจับกุมนั้นมองว่า ไม่ได้ความเป็นธรรม
ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้าไปทำผิดกฎหมายแต่อย่างใด
เพียงแค่ไปร่วมกิจกรรมตามปกติ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับกลายเป็นการยัดเยียดความผิด และถูกดำเนินคดีในที่สุด
.....................
ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงมาตรการฟื้นฟูความยุติธรรม
ให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามประชาชน เม.ย.-พ.ค. 53
สมาชิกพรรคเพื่อไทยย่อมไม่สามารถปฏิเสธว่า
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด
ในการเลือกตั้งนั้น คือ ความโกรธแค้นต่อความอยุติธรรมทางการเมือง
นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2549
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปราบปรามผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง
ในเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 93 ราย บาดเจ็บกว่า 1,800 คน
และมีผู้ถูกจับกุมอีกกว่า 700 คน ยังไม่รวมคนเสื้อแดง
ที่ถูกดำเนินคดีเกี่ยวข้องกับการชุมนุมทางการเมืองก่อนหน้านั้นอีกหลายราย
กระนั้นผู้ที่ออกคำสั่งใช้กำลังปราบปรามประชาชนกลับไม่ถูกดำเนินคดีเลยแม้แต่คนเดียว
พรรคเพื่อไทยต้องตระหนักว่า
คนเสื้อแดงจำนวนมากที่สนับสนุนท่านกำลังเฝ้าจับตามองว่า
พวกท่านจะฟื้นฟูความยุติธรรมให้แก่พวกเขาหรือไม่ อย่างไร
แม้ว่าศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
จะตระหนักว่ารัฐบาลใหม่มีภารกิจท้าทายอยู่ตรงหน้าหลายประการ
โดยเฉพาะจากกลุ่มอำนาจนิยมที่รอคอยจังหวะเข้าแทรกแซงและโค่นล้มรัฐบาล
ที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่ ศปช. ก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาล
ที่จะต้องสร้างสมดุลระหว่างเสถียรภาพของรัฐบาล
ปัญหาเศรษฐกิจ ความปรองดอง และความยุติธรรม ประการสำคัญ
การสร้างความปรองดองและการฟื้นฟูความยุติธรรมในบางกรณี สามารถกระทำได้ในทันที ดังต่อไปนี้
1.ในขณะนี้ประชาชนคนเสื้อแดงเกือบร้อยคนยังถูกคุมขังมาตั้งแต่เดือน เม.ย.- พ.ค. 53
และอีกหลายรายที่ถูกคุมขังก่อนหน้านี้
พวกเขาถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของอย่างกว้างขวางจริง เช่น
เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจเกินขอบเขตเข้าจับกุมและคุมขังตามอำเภอใจ
ตั้งข้อหาร้ายแรงเกินจริง เช่น ก่อการร้าย จับกุมแบบเหวี่ยงแห ขาดหลักฐาน
หลายกรณีมีเพียงภาพถ่ายผู้เข้าร่วมชุมนุมเป็นหลักฐานเท่านั้น
มีการซ้อมและทรมานผู้ต้องขัง สร้างหลักฐานเท็จ
บังคับให้รับสารภาพเพื่อแลกกับการลดโทษ
โดยศาลมักปักใจเชื่อเจ้าหน้าที่และพยานโจทก์
หรือในกรณีที่จำเลยรับสารภาพ ก็ไม่มีการสืบพยานหลักฐานและเร่งตัดสินลงโทษเลย
ผู้ต้องขังจำนวนมากยังไม่ได้รับสิทธิให้ประกันตัว
อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
หลายคนไม่สามารถประกันตนได้เพราะศาลตั้งหลักทรัพย์ประกันตัวไว้สูงลิบลิ่ว
พวกเขาและครอบครัวต้องเดือดร้อนจากการขาดรายได้
หลายคนเจ็บป่วยอย่างหนัก เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว เป็นโรคเครียดรุนแรง
บางคนถึงขึ้นเป็นอัมพฤกษ์ บางคนเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่าจับผิด
เพราะไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุม
การถูกจองจำทำให้หลายครอบครัวตกอยู่ในภาวะหนี้สินท่วมตัว
จนต้องสูญเสียบ้านและที่นา บางรายไม่มีที่อยู่ที่ปลอดภัย
ลูกสาวถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์
ความทุกข์ยากที่พวกเขาได้รับมีมากมายเกินกว่าจะสาธยายในที่นี้ได้หมด
การกระทำดังกล่าวของรัฐบาลที่ผ่านมาและของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
จึงเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมและความเกลียดชังในสังคม
ฉะนั้น ภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาล น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จักต้องกระทำคือ
1.1 แจ้งแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทุกระดับ ได้แก่
ตำรวจ อัยการ และศาล ว่ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดความปรองดองในสังคม
ที่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของพลเมืองเป็นสำคัญ
โดยเห็นว่าผู้ต้องขังทุกคนที่เป็นผลจากความรุนแรงทางการเมืองควรได้รับสิทธิที่จะประกันตน
โดยมีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ค้ำประกันการประกันตนแก่บุคคลเหล่านี้
1.2 สิทธิที่จะได้รับประกันตนควรครอบคลุมผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ
ของความขัดแย้งทางการเมืองนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 อื่นๆ ด้วย คือ
ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
หรือกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
1.3ให้ชะลอการตัดสินคดีที่มีโทษร้ายแรงเกินกว่าเหตุ
และทบทวนคดีการจับกุมที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
หากพบว่าการดำเนินคดีเหล่านั้นไม่ถูกต้องตามหลักนิติธรรม
รัฐบาลต้องผลักดันให้มีการรื้อฟื้นคดีเพื่อพิจารณาคดีใหม่
และหากพบว่าผู้ต้องหาบริสุทธิ์ รัฐบาลต้องคืนความยุติธรรมและชดใช้ให้แก่พวกเขา
1.4 ให้กระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ร่วมชุมนุมที่ถูกแจ้งข้อหา
และควบคุมตัวตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
และข้อหาตามกฎหมายอื่นว่ามีจำนวนทั้งหมดเท่าใด
และขณะนี้มีสถานภาพอย่างไร เพื่อให้สาธารณชนสามารถติดตามตรวจสอบได้
2.ห้ามบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. เข้ามารับผิดชอบการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดี
ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค. 53
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีส่วนได้เสียมีอำนาจบิดเบือนแทรกแซงผลการสอบสวนได้
3.แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมากว่า 1 ปีแล้ว แต่การสืบสวนสอบสวน
รวมทั้งกระบวนการชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิต
เพื่อนำไปสู่การไต่สวนการตาย กลับไม่มีความคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น
รัฐบาลต้องเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ทำการสืบสวนสอบสวน
การชันสูตรพลิกศพและการไต่สวนการตายตามกฎหมายโดยเร็ว
4.จัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
จากการปราบปรามประชาชนเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553
โดยรัฐบาลต้องปรับปรุงเกณฑ์ให้เงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวของเหยื่อ
ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมอย่างสมเหตุสมผล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสหรือพิการ
ซึ่งกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงแก่ครอบครัว เนื่องจาก
แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐจำนวนหนึ่งจะได้ให้เงินช่วยเหลือแก่พวกเขาไปบ้างแล้ว
แต่ด้วยวิธีปฏิบัติและกฏระเบียบของทางราชการ
ทำให้เงินช่วยเหลือเยียวยาที่ได้รับนั้นไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง
ยังมีผู้ได้รับผลกระทบอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากภาครัฐ
5.รัฐบาลควรปรับปรุงการทำงานของ คอป. ทั้งนี้
นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยแถลงว่าต้องการให้ คอป. ทำหน้าที่สืบหาข้อเท็จจริง
เหตุการณ์สลายการชุมนุม เม.ย.- พ.ค.53 ต่อไป
แม้ว่า ศปช. จะมีข้อกังขาต่อการทำงานของคอป.อยู่ไม่น้อย
แต่ก็เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น
เพื่อแก้ไขให้คอป.มีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
และสามารถนำมาซึ่งความยุติธรรมและความปรองดองได้อย่างแท้จริง
ศปช.ขอเสนอให้มีการปรับปรุงการทำงานของ คอป. ดังต่อไปนี้
5.1 คอป.ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องการแสวงหาความจริงและความยุติธรรม
ซึ่งทั้งสองหลักการนี้เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการปรองดอง คอป.ต้องลงความเห็นว่า
มีการกระทำผิดอย่างใดเกิดขึ้นในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53
และใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระทำผิดนั้น ซึ่งสมควรดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
5.2 รัฐบาลต้องสนับสนุนให้คอป. สามารถเรียกพยานและเอกสารหลักฐานจากทุกฝ่ายได้
โดยเฉพาะจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของศอฉ.ทั้งหมด
รัฐบาลควรมีคำสั่งและนโยบายแน่ชัดให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย
โดยเฉพาะทหารและตำรวจ ร่วมมือให้ข้อมูลกับ คอป.
และหากบุคคลหรือหน่วยงานปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ คอป.
สามารถเอาผิดทางวินัยกับบุคคลหรือหัวหน้าหน่วยงานนั้นได้
5.3 ให้มีการปรับปรุงองค์ประกอบของคอป.ให้มีตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบ
โดยเฉพาะญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ รวมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องในสัดส่วนที่เหมาะสม และกรรมการ คอป.ที่สวมหมวกหลายใบ
ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ควรพิจารณาถอนตัว
5.4 คอป.ต้องมีพันธะหน้าที่ต่อสาธารณะ เนื่องจากการทำงานของคอป.ที่ผ่านมา
ยังไม่เปิดเผยในหลายเรื่อง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
โดยเฉพาะผู้ได้รับผลกระทบจากการปราบปราม
และไม่สนใจรายงานความก้าวหน้าต่อประชาชน ดังนั้น
คอป.จะต้องเปิดกว้างให้ประชาชนเข้าร่วมฟังการไต่สวนหาความจริง
ต้องแถลงความคืบหน้าอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้งผ่านสื่อสาธารณะ
และข้อมูลจากการไต่สวนของ คอป. จะต้องไม่เป็นความลับทางราชการ
ด้วยวิธีการที่เปิดเผยโปร่งใสต่อสาธารณะชนเช่นนี้เท่านั้น
ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปกปิด-บิดเบือนข้อเท็จจริง
ดังเช่นที่เกิดกับร่างรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอีก
5.5 ในเมื่อไม่มีข้ออ้างใดๆ ในเรื่องความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ข้าราชการคอป.
ต้องเร่งทำงานอย่างไม่ยักเยื้องลังเล ต้องประกาศระยะเวลาสิ้นสุด
การทำงานที่ชัดเจนให้ประชาชนได้รับทราบ
เพื่อเป็นเกณฑ์ตรวจสอบความคืบหน้าในการทำงานของ คอป.ต่อไป
6.รัฐบาลควรอนุญาตและให้ความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศที่ประสงค์
จะเข้ามาตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค. 53
รวมทั้งเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำต่างๆ เช่น
ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติด้านการสังหารนอกกฎหมาย
และการต่อต้านการก่อการร้าย
และองค์กรกาชาดสากล เป็นต้น
เพื่อสนับสนุนการแสวงหาความจริงเพื่อความยุติธรรมและความปรองดอง
และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอีกทางหนึ่ง
จริงอยู่ว่าเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งที่จะนำไปสู่การปรองดองในสังคมคือ
การประนีประนอมยืดหยุ่นของฝ่ายต่างๆ แต่ ศปช. เห็นว่า
เรื่องบางเรื่องไม่อาจประนีประนอมได้ นั่นคือ
"ความจริง"เกี่ยวกับการปราบปรามประชาชน
แต่เราอาจประนีประนอมในเรื่องการลงโทษผู้มีส่วนร่วมในการปราบปราประชาชนได้
โดยมุ่งไปที่ผู้ออกคำสั่งหรือผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น
ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามคำสั่งพึงถูกละเว้นจากความผิด
ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัตินอกคำสั่งและก่อความรุนแรงแก่ประชาชน
ศปช. จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เร่งฟื้นฟูความยุติธรรมให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามประชาชน เม.ย.-พ.ค.2553 โดยเร็ว
18 สิงหาคม 2554
ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค.53
เครือข่ายญาติผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายชุมนุมเดือนเมษา-พฤษภา 53
กลุ่มช่วยเหลือครอบครัวผู้ต้องขังคดีการเมืองเชียงใหม่-อุบลฯ (Red Fam Fund)
กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง
กลุ่มมรสุมชายขอบ
กลุ่มครอบครัวคดีเสื้อแดงเชียงใหม่
องค์การแรงงานเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มประกายไฟ
กลุ่มคนงานสตรีสู่เสรีภาพ
Try arm
เครือข่ายสันติประชาธรรม
กลุ่มนิติราษฎร์
สถาบันต้นกล้า
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313668033&grpid=01&catid=&subcatid=
Re:
เปิดใจ'เสื้อแดง'พ้นคุกอุดร
รายงานพิเศษ
หมายเหตุ- กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวน 22 คน
ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี นานกว่า 1 ปี
และได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา
ได้เปิดใจหลังได้รับอิสรภาพ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและนำมาซึ่งการถูกจับกุม
1.ปฐมาวดี วินิจจามร หรือดีเจ.ศุภารัตน์ หัตถีจร
นักจัดรายการสถานีวิทยุกระจายเสียง จ.อุดรธานี
ตอนนี้รู้สึกโล่งไปหมด หลังจากโดนขังมา 1 ปี 3 เดือน 15 วัน
วันแรกๆ ที่เข้าไปถูกจับขังซอยหรือขังเดี่ยวเลย 12 วัน
เขาหาว่าเป็นแกนนำ ผู้คุมเข้มมาก ห้ามใครในเรือนจำเข้าไปพูดคุยด้วย
ทำให้ดิฉันน้อยใจมาก คิดว่าเป็นบุคคลที่สังคมรังเกียจ รับประทานอาหารไม่ได้เลย
จากนั้นจึงออกมาขังรวมกับคนอื่นที่เป็นหญิงกว่า 400 คน
และเจ้าหน้าที่เห็นว่าดิฉันมีความรู้ดี จึงให้เป็นบรรณา รักษ์ ในห้องสมุด
สังคมในเรือนจำนั้น รู้สึกกดดันมาก นึกว่าชีวิตจะไม่รอดแล้ว
ต้องหาหมอโรคจิตมาบำบัดแน่
แล้วคดีที่ดิฉันกับเพื่อนๆ โดนนั้น เป็นคดีที่ใหม่ต่อเขามาก มีแต่สายตาที่ไม่เป็นมิตร
พวกเราอยู่ท่ามกลางอึมครึม ถูกรังเกียจว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง
เป็นพวกขบถ เป็นพวกทรราช ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องการบ้านการเมืองเลย
ได้รับฟังข่าวทางเดียวจากเจ้าหน้าที่ แม้แต่โทรทัศน์ก็ไม่ได้ดูเลย
แต่พวกเราพยายามไม่สร้างปัญหา พยายามเป็นมิตร
ซึ่งต่อมาเขามาถาม มาพูดคุยด้วย เราก็ชี้แจงให้ฟัง
สำหรับแดนขังหญิงนั้นคับแคบมาก
เนื้อที่ไม่น่าจะถึง 1 ไร่ แต่มีผู้ต้องขังถึง 400 กว่าคน
ต้องนอนบนพื้นกระเบื้องเลย ทุกอย่างต้องแย่งชิงกันหมด
แม้แต่ราวตากผ้า น้ำก็ไม่พออาบกัน
บางวันได้อาบเพียง 3 ขันเท่านั้น น้ำก็ขุ่น แดง ก็ต้องทำใจ
ดิฉันได้ทราบข่าวว่าจะได้รับประกันในวันจันทร์ที่ 15 ส.ค.
ก็พากันตั้งหน้าตั้งตารอ จนถึงเวลา 21.00 น.คืนวันอังคารที่ 16 ส.ค.
จึงมีเจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบและเก็บข้าวของ
แล้วนำมาพบนายขวัญชัย ไพรพนา และส.ส.ที่ห้องรวม
เมื่อมากันพร้อม เจ้าหน้าที่จึงนำออกมาจากที่คุมขัง
หลังจากนี้ขออยู่กับลูกสาว และสามีก่อน
จากนั้นจะทำหน้าที่จัดรายการวิทยุ ต่อไป
และในวันอาทิตย์ที่ 21 ส.ค.นี้ พวกเราทั้งหมดจะไปรวมกันที่ชมรมคนรักอุดร
เพื่อฟังคำชี้แนะของนายขวัญชัย ในการทำงานต่อไป
ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยประกันตัวพวกเราออกมาในครั้งนี้
รวมทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วย ยืนยันว่า
เราทำเพื่อความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้คิดมุ่งร้ายกับใครทั้งสิ้น
2.แสงทอง ประจำเมือง
ชาวต.หมากแข้ง อ.เมือง อุดรธานี
ผมมีอาชีพเปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน
ในวันเกิดเหตุเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 ไปยืนถ่ายวิดีโอบันทึกเหตุการณ์
อยู่หน้าศาลากลางจังหวัดอุดรธานี
ซึ่งหลังจากสิ้นเสียงปืน ทุกคนพากันหนีหมด แต่ผมยังยืนถ่ายวิดีโออยู่
และถูกทหารคนหนึ่งมากระชากกล้องแล้วทำลายกล้องจนพังหมด
ก่อนจะควบคุมผมและคนอื่นๆ ไปที่ค่ายทหารพระยาสุนทรธรรมธาดา ต.โนนสูง อ.เมืองอุดร
โดนควบคุมตัวอยู่ 2 วัน ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบสวนผมและเพื่อนๆ ทั้ง 22 คน
ซึ่งตำรวจบอกว่าพวกผมโดนคดีกระทำผิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ซึ่งเป็นคดีไม่ร้ายแรง ให้รับสารภาพ เสียแค่ค่าปรับเท่านั้น
ซึ่งทุกคนก็รับสารภาพกันหมด
จากนั้นทหารบอกให้ญาติไปเสียค่าปรับที่ศาล
และบอกว่าจะนำตัวส่งศาล แต่กลับนำพวกผมเข้าห้องขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ
เมื่อมาถึงในคุก ทางศาลแจ้งว่าพวกผมต้องโทษอีก 2 คดีคือ
พยายามวางเพลิงเผาทรัพย์อาคารสาธารณะ สมบัติของแผ่นดิน
และคดีบุกรุกโดยมีอาวุธหรือร่วมกันกระทำผิดเกิน 2 คนขึ้นไป
เมื่อเข้าไปอยู่ในเรือนจำ รู้สึกกดดันมาก
ถูกขังซอย 7 คนต่อห้องที่มีขนาด 3 x 2 ตร.ม. ไม่ได้ออกไปไหน
อยู่ในห้องประมาณ 2 สัปดาห์ เขาก็นำมาขังรวมกันที่มาด้วยกัน 18 คน
(เฉพาะชาย ส่วนหญิงอีก 4 คนแยกไปขังซอยหญิง) จึงค่อยดีขึ้น
ทุกเช้าที่แถวหน้าเสาธง พวกผมจะรู้สึกกดดันมาก
เพราะจะมีเจ้าหน้าที่เรือนจำออกมาพูดหน้าแถวว่า
พวกผมเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกขบถ เป็นทรราช
ทำให้พวกนักโทษในเรือนจำ พากันเยาะเย้ยถากถางเป็นประจำ
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้ผมไปอยู่ ฝ่ายการศึกษา ได้เรียนหนังสือ ทำงานอยู่ในห้องสมุด
และได้ทราบข่าวว่าจะมีคนเสื้อแดงมาช่วยประกัน จนมาเสร็จในคืนวันอังคารที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา
ก็ดีใจมาก ตอนนี้ต้องออกมาดูแลร้านต่อ ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยประกันตัว
3.กิตติพงษ์ ชัยกัง
ชาวต.หนองไฮ อ.เมือง อุดรธานี
ผมเพิ่งอายุ 19 ปี มีอาชีพรับจ้างทั่วไป วันเกิดเหตุ
ผมไปยืนดูจุดที่เผาสำนักงานเทศบาลนครอุดรฯ อยู่ใกล้ศาลากลาง
และมาถูกจับกุมในวันที่ 16 มิ.ย. 2553 พร้อมกับ
นายเดชา คมขำ และนายบัวเรียน แพงสา
เจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมที่บ้าน บอกว่ามีรูปผมอยู่ในรูปภาพในวันเผาศาลากลาง
ซึ่งผมโดน 3 ข้อหาเช่นกัน และโดนขังที่สภ.เมืองอุดรฯ อยู่ 2 วัน
ก็นำไปฝากขังที่เรือนจำกลางอุดรฯ อยู่รวมกับนักโทษทั่วๆ ไป
ยอมรับว่าลำบากมาก ทั้งเรื่องอาหาร ความเป็นอยู่ทุกอย่าง
และรู้สึกกดดันมาก เพราะถูกคนในเรือนจำพูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่า
เป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง เป็นพวกทรราช
และมีการกำชับเจ้าหน้าที่ให้ดูแลอย่างละเอียด
อีกทั้งพวกนักโทษที่ไม่ชอบคนเสื้อแดง ก็ด่าว่ากระทบกระแทกทุกวัน
แต่ผมยังโชคดีที่นายทองชัย ชัยกัง พ่อของผมซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านบ้านหนองหูลิง
บอกให้สงบสติอารมณ์ไว้ขณะมาเยี่ยม และซื้อสิ่งของมาฝาก
ขณะที่อยู่ในเรือนจำ เขาให้ผมไปอยู่ที่งานฝึกอาชีพ
ทำหน้าที่สานอวน หรือถักอวน ทำอยู่กับเพื่อน 3 คน ถักอวนคนละหลัง
4.มงคล ชมคุณ
ชาวอ.เมือง อุดรธานี
ผมอาศัยอยู่กับมารดาคือนางเตือนจิต สีกุลนาวา
ซึ่งผมช่วยแม่ขายข้าวมันไก่
ซึ่งในวันเกิดเหตุ เพื่อนชวนผมมาดูเหตุ การณ์ที่เผาศาลากลางจังหวัด
ขณะที่ยืนดูกันอยู่ที่หน้าศาลากลาง ก็ถูกทหารเข้ามาจับกุม
โดยทหารได้ใช้พานท้ายปืนตีเข้าที่หน้าผาก และเหนือคิ้วซ้าย จนทำ ให้ปวดตามาก
ช่วงที่ถูกจับกุม ผมรู้สึกห่วงแม่มาก แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
ซึ่งแม่บอกว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแจ้งให้ทราบว่าลูกชายถูกจับจากเหตุเผาศาลากลางจังหวัด
อีกทั้งแม่ยังบอกด้วยว่าตอนนี้รู้สึกเกลียดทหารมากที่ทำร้ายผม
และจะไม่ขายข้าวมันไก่ให้กับทหารโดยเด็ดขาด
5.ธนพล มาดีประเสริฐ
ชาวต.หนองบัว อ.เมืองอุดรธานี
ผมมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ซึ่งโดนจับไปพร้อมกับนายมงคล ชมคุณ พ่อค้าข้าวมันไก่
ช่วงแรกๆ เข้าไปในห้องขังซอย นั่งร้องไห้ทุกวัน คิดถึงลูกชายที่มีอายุ 7 เดือนเศษ
ข่าวคราวข้างนอกก็ไม่รู้เรื่องเลย มีเจ้าหน้าที่บางคนที่ดีๆ เข้ามาปลอบใจบอกให้ทำตัวดีๆ
ตอนนั้นจิตใจแย่มาก ต้องหันมาพึ่งบุหรี่ เขาทำเหมือนกับเราไม่ใช่คนไทยเลย
โดนขังซอยถึง 10 วันก็ได้มาอยู่ห้องขังรวม 18 คน พวกเดียวกัน ก็ดีขึ้น
และทราบจากเจ้าหน้าที่ว่าไม่อยากปล่อยไปรวมกับนักโทษอื่น
กลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายเอา เนื่องจากมีบางพวกเกลียดพวกเสื้อแดงมาก
ส่วนอาหารการกินต้องพึ่งญาติ เพราะอาหารในนั้นกินไม่ได้เลย
สถานที่คับแคบมาก ผ้าห่ม หมอน เสื้อผ้าต้องอาศัยญาตินำเข้าไปให้
วันที่พวกผมเข้าไป พวกนักโทษที่ได้รับอภัยโทษพากันโกรธมาก
เพราะทางเรือนจำต้องรับพวกเสื้อแดงก่อน
ทำให้นักโทษที่ได้รับอภัยโทษต้องเลื่อนวันออกมา
พวกเขาดุด่าพวกเรามาก แต่พวกเราเข้าใจ
คนเสื้อแดงไม่ได้ทอดทิ้งเรา พยายามจะช่วยเหลือมาตลอด
เราไม่กลัวตรงจุดนี้แต่เรากลัวจะไม่ได้รับความยุติธรรม
เหมือนเราสู้กับรัฐบาล ต้องขอบคุณนายขวัญชัย ส.ส.อุดรฯ
นายสุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล หรือเสี่ยต้อยติ่ง และคนเสื้อแดง
ที่ช่วยเหลือพวกผมมาตลอดขณะอยู่ในคุกจนมีวันนี้
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNakU1TURnMU5BPT0=§ionid=TURNd05BPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4T1E9PQ==