WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, August 20, 2011

จลาจลอังกฤษในสายตานักสังคมวิทยา

ที่มา ประชาไท

ภัค วดี วีระภาสพงษ์ แปลจาก Fernando Duarte, “Interview – Zygmunt Bauman on the UK Riots,”http://www.social-europe.eu/2011/08/interview-zygmunt-bauman-on-the-uk-riots/ (ผู้แปลแปลมาเฉพาะบางส่วนเท่านั้น)

ซิก มุนท์ บาวมัน (Zygmunt Bauman) ศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยลีดส์และนักสังคมวิทยาระดับแถวหน้าของ ยุโรป ผู้เชี่ยวชาญในประเด็นสังคมมนุษย์ร่วมสมัย มีผลงานหนังสือหลายเล่ม อาทิ Liquid Modernity, 44 letters from the liquid-modern world, Living on borrowed Time เป็นต้น

ถ้า มองจากแนวคิดในงานเขียนของคุณเกี่ยวกับยุคโพสต์โมเดิร์นและ ลัทธิบริโภคนิยม มันเป็นเรื่องน่าขบคิดมากน้อยแค่ไหนจากข้อเท็จจริงที่การจลาจลครั้งนี้มุ่ง ไปที่การปล้นสินค้าบริโภคเป็นหลัก?

กล่าวได้ว่า การจลาจลครั้งนี้คือการระเบิดที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว.....อุปมาดัง เช่นทุ่งระเบิด ทุกคนรู้ดีว่ากับระเบิดบางอันจะต้องระเบิดขึ้นมาจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าตรงจุดไหนและเมื่อไร อย่างไรก็ตาม ในกรณีของทุ่งระเบิดทางสังคม การระเบิดมักแพร่กระจายออกไปในทันที สืบเนื่องมาจากเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลในแบบ “เรียลไทม์” ของยุคสมัยใหม่ ซึ่งกระตุ้นให้เกิด “พฤติกรรมเลียนแบบ” ทุ่งระเบิดทางสังคมนี้เกิดขึ้นมาจากการผสมผสานของลัทธิบริโภคนิยมกับความไม่ เท่าเทียมที่เพิ่มมากขึ้น การจลาจลครั้งนี้ไม่ใช่การกบฏหรือการลุกฮือของประชาชนที่อดอยากยากไร้หรือ ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาหรือชาติพันธุ์ที่ถูกกดขี่ แต่เป็นการก่อความวุ่นวายของผู้บริโภคที่ขาดแคลนกำลังซื้อและถูกกีดกัน (defective and disqualified consumers) ต่างหาก ประชาชนที่ขุ่นแค้นและถูกเหยียบย่ำจากภาพหรูหราฟู่ฟ่าของความมั่งคั่ง ซึ่งพวกเขาถูกกีดกันออกไป เราต่างถูกคุกคามและโน้มน้าวให้มองว่าการช้อปปิ้งคือสูตรสำเร็จของชีวิตที่ ดีและเป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาชีวิตทุกอย่าง แต่ประชากรส่วนใหญ่กลับถูกกีดกันจากการใช้สูตรสำเร็จนี้ เราจะเข้าใจการจลาจลตามเมืองใหญ่ ๆ ในอังกฤษได้ชัดเจนที่สุด เมื่อมองว่ามันเป็นการกบฏของผู้บริโภคที่คับข้องใจ

มีการ วิเคราะห์วิจารณ์กันมากมายถึงรากเหง้าปัญหาทางสังคมเบื้อง หลังการจลาจล และการวิเคราะห์แบบหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือการใช้สมมติฐานเกี่ยวกับ ความไม่เท่าเทียม รัฐบาลจะต้องเผชิญกับภารกิจที่ซับซ้อนมากแค่ไหนในการแก้ไขปัญหานี้ ในเมื่อมโนทัศน์เกี่ยวกับ “คนที่มี” กับ “คนที่ไม่มี” ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปมากในสองสามทศวรรษที่ผ่านมาก

ใน กรณีนี้ก็เช่นเดียวกับวิธีการที่รัฐบาลแก้ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ เกิดจากการพังทลายของระบบสินเชื่อ (วิธีการของรัฐบาลก็คือ ปรับโครงสร้างหนี้ของกลุ่มธนาคารเพื่อให้ “คืนสู่ภาวะปรกติ” แต่ภาวะปรกติก็คือการดำเนินการแบบเดิม ๆ ที่เป็นสาเหตุหลักของการพังทลายและภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนั่นแหละ!) ฉันใดก็ฉันนั้น วิธีการของรัฐบาลอังกฤษที่ปฏิบัติต่อการก่อความวุ่นวายของกลุ่มประชาชนที่ ถูกเหยียบย่ำกลับจะยิ่งซ้ำเติมการเหยียบย่ำที่เป็นสาเหตุของการจลาจลให้ฝัง ลึกลงไปอีก ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมแตะต้องต้นตอของการเหยียบย่ำนั้น ซึ่งก็คือลัทธิบริโภคนิยมอย่างบ้าคลั่งควบคู่กับความไม่เท่าเทียมที่ถ่าง กว้างขึ้น ๆ มาตรการเด็ดขาดไม่ปรานีที่รัฐบาลนำมาใช้อาจหยุดยั้งการระเบิดได้ชั่วครั้ง ชั่วคราว แต่ไม่ได้ถอดชนวนทุ่งระเบิดที่เป็นสาเหตุและไม่ได้ป้องกันการปะทุระเบิด ครั้งต่อไป ปัญหาสังคมไม่เคยถูกแก้ไขจากการบังคับใช้เคอร์ฟิว มันรังแต่จะกลบฝังปัญหาให้เน่าเปื่อยและพุหนองต่อไป.....วิธีการของรัฐบาล อังกฤษเป็นแค่ความพยายามอันผิดพลาดที่คิดว่าจะแก้ไขความป่วยไข้เรื้อรังของ สังคมได้ด้วยยาแรงขนานเดียว การเยียวยาความป่วยไข้ให้หายขาดได้ จำเป็นต้องอาศัยการปฏิรูปกลไกการทำงานของสังคมอย่างจริงจัง รวมไปถึงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Edgar Morin (นักปรัชญาและนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส) เคยชี้แนะไว้ในครั้งล่าสุดที่เขาไปอภิปรายที่เมืองเซาเปาลู

เมื่อ สัมภาษณ์เยาวชนที่มาจากครอบครัวยากจน พวกเขาแสดงความขุ่นเคืองอย่างชัดเจนต่อการขาดโอกาสในการศึกษาและการทำงาน แต่เรากลับไม่เห็นมีมหาวิทยาลัยไหนถูกเผา เราพอจะตั้งสมมติฐานได้ไหมว่า มีสัญลักษณ์บางอย่างแฝงอยู่ในการเผาห้างดิ๊กสัน

เมื่อถูกกด ดันให้อธิบายว่าทำไมจึงโกรธแค้น ไม่ว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้จะตอบว่าอะไรก็ตาม (ซึ่งส่วนใหญ่ก็พูดซ้ำคำอธิบายที่ได้ยินมาจากทีวีหรืออ่านมาจากหนังสือ พิมพ์....) ข้อเท็จจริงก็คือ ขณะที่ปล้นและเผาร้านค้า พวกเขาไม่ได้พยายาม “เปลี่ยนแปลงสังคม” ไม่ได้พยายามแสวงหาระบบระเบียบอื่นมาแทนที่ของเก่า ไม่ได้พยายามแสวงหาระบบระเบียบอื่นที่มีมนุษยธรรมกว่าและเอื้อต่อการดำรง ชีวิตที่ดีและมีศักดิ์ศรียิ่งกว่า พวกเขาไม่ได้ขบถต่อลัทธิบริโภคนิยม แต่พยายามหาหนทาง (ที่ผิดพลาดและเลวร้าย) ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมต่างหาก ถึงแม้จะเป็นชั่วขณะอันแสนสั้นก็ตามที พวกเขาต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในแถวขบวนของผู้บริโภคที่ตัวเองถูกกีดกัน มาตลอด การก่อความวุ่นวายของพวกเขาไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่มีการประสานกัน มันเป็นแค่การระเบิดขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนจากความคับข้องใจที่สั่งสมมา นาน ซึ่งสามารถอธิบายได้ในแง่ของ “เพราะอะไร” ไม่ใช่ในแง่ของ “เพื่ออะไร” ผมสงสัยว่าคำถาม “เพื่ออะไร” ไม่น่าจะมีบทบาทใด ๆ ในงานเลี้ยงฉลองการทำลายล้างอย่างบ้าคลั่งครั้งนี้

นโยบาย สาธารณะที่ทำให้เกิดการเคหะชุมชนขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ถูกวิจารณ์ว่าทำให้เกิดหย่อมย่านในเมืองที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยก กีดกัน เป็นนโยบายที่สมควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะส่วนหนึ่งของปัญหาหรือไม่

(การ เคหะชุมชนหรือ council estates เป็นนโยบายที่ใช้ในอังกฤษมานาน จุดประสงค์คือการสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยราคาถูกให้ชนชั้นแรงงานเช่าโดยมี เงื่อนไขต่าง ๆ)

รัฐบาลอังกฤษที่ผ่านมาหลายชุดยกเลิกการสร้าง “การเคหะชุมชน” มานานแล้ว และปล่อยให้การกระจายของประชากรในพื้นที่ รวมทั้งปัญหาต่าง ๆ เป็นเรื่องของกลไกตลาดโดยสิ้นเชิง การกระจุกตัวของประชาชนที่เสียเปรียบและยากจนในบางพื้นที่ของเมือง ซึ่งไม่ต่างจากสลัมมากนัก มันไม่ได้เกิดมาจากแนวนโยบายสังคม แต่เกิดมาจากปัญหาราคาบ้านและที่อยู่อาศัย ปัญหานี้ยิ่งถูกซ้ำเติมจากแนวโน้มของประชากรเมืองส่วนที่มีฐานะที่มักสร้าง กำแพงล้อมตัวเองให้พ้นจากปัญหาของเมืองใหญ่ ด้วยการไปซื้อบ้านอยู่ในพื้นที่ที่เรียกกันว่า “ชุมชนล้อมรั้ว” การแบ่งแยกและการแบ่งขั้วตามเมืองใหญ่ ๆ ในปัจจุบันเป็นผลลัพธ์มาจากกลไกตลาดเสรีที่ไม่ถูกควบคุมทางการเมือง ถ้าหากนโยบายรัฐจะมีส่วนซ้ำเติมปัญหาบ้าง ก็คงเพียงในแง่ที่รัฐบาลไม่ยอมเข้ามารับผิดชอบโดยตรงต่อสวัสดิภาพของชีวิต มนุษย์ และตัดสินใจ “โยนภาระ” ไปให้ทุนเอกชนมีบทบาทแทน

ในบทความที่คุณเขียนลงในวารสาร Social Europe Journal (http://www.social-europe.eu/2011/08/the-london-riots-on-consumerism-coming-home-to-roost/) คุณไม่ยอมนิยามการจลาจลครั้งนี้ว่าเป็นการปฏิวัติทางสังคม จริง ๆ แล้วในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มีความปรารถนาที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอยู่บ้างสักน้อยนิดหรือ ไม่ หรือมีเพียงแค่ความไม่สมดุลระหว่างภาวะความอยากของมวลชนเท่านั้น?

จน ถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เห็นหลักฐานใด ๆ ที่บ่งบอกว่ามีความปรารถนาเช่นว่านี้......การสร้างภาพโรแมนติกเกี่ยวกับ ชีวิตอันสมถะและปฏิเสธกิเลสตัณหาคืออุดมการณ์ที่พวกคนร่ำรวยและสุขสบายสร้าง ขึ้นมาเสมอ ตราบเท่าที่ความสุขสบายของพวกเขาไม่ได้รับผลกระทบ พวกเขาก็ชอบแสดงออกว่าอยากเลียนแบบอุดมคตินี้ (ซึ่งเป็นความเพ้อฝันที่ไร้เหตุผล อันจะบรรลุได้ก็ด้วยวิธีการที่ไร้เหตุผลเท่านั้น!) แต่ไม่มีวันยอมแลกไลฟ์สไตล์ของตนกับวิถีชีวิตที่ตัดกิเลส พอเพียงและสมถะจริง ๆ หรอก ดังที่ Neal Lawson (http://www.social-europe.eu/author/neal-lawson/) ตั้งข้อสังเกตได้อย่างเฉียบคมว่า “การที่บางคนติดป้ายฉลากให้อย่างไร้น้ำใจว่า ‘ชนชั้นต่ำที่ป่าเถื่อนบ้าคลั่ง’ คำพูดนี้เป็นแค่กระจกเงาที่สะท้อนภาพของชนชั้นนำที่ป่าเถื่อนบ้าคลั่งเหมือน กัน” ถึงแม้มันจะเป็นกระจกเงาที่บิดเบือนและบิดเบี้ยว แต่กระจกก็เป็นกระจกที่สะท้อนเงาวันยังค่ำ.....

ตำรวจย่อม ไม่สามารถเฝ้าอยู่ตามท้องถนนเป็นจำนวนมากไปได้อีกนาน สักเท่าไร และชีวิตก็จะกลับมาเป็น “ปรกติ” ในเร็ววัน เมื่อดูจากการที่การจลาจลของผู้บริโภคครั้งแรกนี้มีการแพร่ขยายไปอย่างรวด เร็ว ชาวลอนดอนควรกริ่งเกรงมากน้อยแค่ไหนว่าปัญหาอาจจะเกิดตามมาอีกในอนาคต

คุณ กับผมต่างก็ได้แต่คาดเดา......แต่เราทุกคนทราบดีจากประสบการณ์ที่มี มากมายว่า การลงโทษหนัก ๆ สามารถดับไฟได้สักกองสองกอง แต่มันไม่มีทางฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ไฟไหม้ให้มอดสิ้น “เชื้อไฟทางสังคม” ได้อย่างเด็ดขาด ผลกระทบเพียงอย่างเดียวที่เกิดจากปฏิบัติการของตำรวจในการตอบโต้สถานการณ์ เฉพาะหน้าครั้งนี้ ก็คือจะทำให้เกิดเสียงเรียกร้องอยากให้มีปฏิบัติการของตำรวจมากขึ้น กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ปฏิบัติการของตำรวจมีความสามารถอันยอดเยี่ยมในการผลิตซ้ำความจำเป็นที่จะ ต้องมีมันไปเรื่อย ๆ อย่าลืมว่าในกรณีของผู้บริโภคที่คับข้องใจและถูกกีดกัน การนำพวกเขาคืนสู่ “ภาวะปรกติ” หมายถึงการผลักพวกเขากลับไปอยู่ในสภาพที่เหมือนทุ่งระเบิดดี ๆ นี่เอง!

สุดท้ายแต่ไม่ใช่สำคัญน้อยสุด นิตยสาร New Statesman ได้ตั้งคำถามตบท้ายอันลือลั่นว่า ในเมื่อลัทธิบริโภคนิยมได้ฝังลึกลงในสังคมโพสต์โมเดิร์นเสียแล้ว หรือว่าชีวิตเราจะไม่มีทางเลือกอื่นอีก? เราจะวิจารณ์อย่างไรต่อความคิดที่ว่า “การช้อปปิ้งคือภาพของภาวะปรกติ”?

เมื่อ ไม่กี่เดือนก่อน François Flahaut ได้ตีพิมพ์ผลงานศึกษาที่โดดเด่นมากเกี่ยวกับแนวคิดของประโยชน์สาธารณะ (common good) และแนวคิดนี้สะท้อนอะไรในความเป็นจริง (Où est passé le bien commun ?, Éditions Mille et une nuits, 2011) สาระสำคัญของงานเขียนชิ้นนี้ มุ่งเน้นประเด็นไปที่ลักษณะสังคมในปัจจุบันที่มีความเป็น “ปัจเจกชนนิยม” อย่างรุนแรง กล่าวคือ การที่แนวคิดเกี่ยวกับ “การเมืองที่ดี” ถูกกำจัดทิ้งไปและแนวคิดของสิทธิมนุษยชนถูกนำมาใช้แทนที่ ทั้ง ๆ ที่หากมองตามความเป็นจริงแล้ว แนวคิดสิทธิมนุษยชนจะมีได้ ก็ต้องมีแนวคิดของ “ประโยชน์สาธารณะ” เป็นพื้นฐานก่อน การดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์และชีวิตทางสังคมคือองค์ประกอบที่ทำให้เกิด ประโยชน์สาธารณะ และจากประโยชน์สาธารณะนี้เองที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมและคุณความดีทางสังคมตาม มา ด้วยเหตุผลนี้เอง การแสวงหาความสุขจึงควรมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมประสบการณ์ชีวิต สถาบัน วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติอื่น ๆ ที่เป็นชีวิตส่วนรวม แทนที่จะไปมุ่งเน้นที่ดัชนีความมั่งคั่ง ซึ่งบั่นทอนการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ให้เหลือเพียงแค่การแข่งขันและชิงดีชิง เด่นระหว่างปัจเจกบุคคล

ดังนั้น ประเด็นสำคัญที่เรายังไม่มีคำตอบที่น่าเชื่อถือและมีหลักฐานชัดเจนในเชิง ประจักษ์ก็คือ ความสุขของการมีความเอื้ออาทรต่อกันจะสามารถแทนที่การแสวงหาความมั่งคั่ง ความพึงพอใจจากการได้บริโภคสินค้าที่ตลาดนำเสนอและการเอาชนะเหนือคนอื่น ทั้งหมดนี้ก็คือแนวคิดของความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั่น เอง ซึ่งกลายเป็นสูตรสำเร็จที่เกือบจะได้รับการยอมรับเป็นสากลแล้วว่านี่แหละคือ ชีวิตที่ดีมีความสุข กล่าวโดยสังเขปก็คือ ความปรารถนาที่มนุษย์เรามีต่อการอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร ถึงแม้จะเป็นความปรารถนา “ตามธรรมชาติ” “มีร่วมกัน” และ “เกิดขึ้นมาเอง” แค่ไหนก็ตาม แต่มันจะเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้หรือไม่ภายในสังคมปัจจุบัน โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของหลุมพรางกับดักจากลัทธิประโยชน์นิยมและถูกตลาดฉกฉวยไป ใช้ประโยชน์? ถ้าเราไม่เลือกหนทางด้วยเจตจำนงของเรา เราก็อาจถูกบังคับให้ยอมรับสิ่งที่ยัดเยียดให้จากผลร้ายแห่งการปฏิเสธของเรา เอง......

ในหนังสือเล่มล่าสุดชื่อ Redefining Prosperity ของศาสตราจารย์ Tim Jackson แห่งมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ เขาเตือนเราว่า รูปแบบความเติบโตอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จะสร้างความเสียหายที่แก้ไขไม่ ได้ ทั้งนี้เพราะ “ความเติบโต” ถูกวัดด้วยการเพิ่มขึ้นของการผลิตเชิงวัตถุมากกว่าการบริการ เช่น เวลาว่าง สุขภาพ การศึกษา...... ทิม แจ็กสันเตือนเราว่า ในปลายศตวรรษนี้ “ลูกหลานของเราจะต้องเผชิญกับสภาพบรรยากาศโลกที่เลวร้าย ทรัพยากรที่ร่อยหรอ การทำลายธรรมชาติที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ การลดจำนวนลงของสปีชีส์ต่าง ๆ ความขาดแคลนของอาหาร การอพยพย้ายถิ่นฐาน และสิ่งที่ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงได้ก็คือสงคราม” การบริโภคของเราที่ถูกกระตุ้น/ส่งเสริม/ผลักดันจากระบบสินเชื่อและบรรดาผู้ มีอำนาจ “เป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืนทางนิเวศวิทยา มีปัญหาทางสังคมและไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ” ข้อสังเกตที่น่าตกใจอีกประการหนึ่งจากศาสตราจารย์แจ็กสันก็คือ ในสภาพสังคมที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งคนรวยที่สุดจำนวนหนึ่งในห้าของประชากรโลกครอบครองรายได้ต่อปีถึง 74% ของรายได้ทั้งหมดในโลก ในขณะที่คนจนที่สุดหนึ่งในห้าของประชากรโลกต้องดำรงชีวิตด้วยรายได้เพียง 2% การทำลายธรรมชาติเพื่อนโยบายความเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งชนชั้นสูงอ้างว่าทำไปเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น เป็นแค่ความมือถือสากปากถือศีลและขัดต่อเหตุผลอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้กลับถูกเพิกเฉยจากช่องทางการไหลเวียนของข้อมูล (หมายถึงสื่อมวลชน—ผู้แปล) ที่เข้าถึงประชาชนจำนวนมาก (และมีประสิทธิภาพ) หรืออย่างดีที่สุดก็นำเสนอข้อเท็จจริงด้วยน้ำเสียงที่ปรับแต่งให้ประนี ประนอม จนชะตาชีวิตอันรันทดของมนุษย์เป็นแค่เสียงร้องในป่าชัฏรกร้างที่ไม่มีใครได้ ยิน