ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
สับไก กระสุนธรรม
ปัญหาน้ำที่น่าปวดเฮดในช่วงน้ำท่วมคือ "น้ำลาย" สัญลักษณ์แห่งการจ้อ
ผู้ตกเป็นเหยื่อแห่งการจ้ออันดับหนึ่งตอนนี้ เป็นใครไม่ได้นอกจากนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจนำการบริหารประเทศ
ส่วนผู้นิยมจ้อที่แซงหน้าสมาชิกฝ่ายค้าน คือบรรดา "ผู้รู้ดี" ตามเครือข่ายสังคมออนไลน์
นัยว่าไม่มีช่วงไหนที่จะเป็นโอกาสทองเท่านี้อีกแล้ว
ในเมื่อมีทั้งน้ำหลากไหลและซึมลึกมาถึงกรุงเทพมหานคร
การ "หาพวก" รุมถล่มนายกรัฐมนตรี ผู้ใช้เวลาเพียง 49 วันในการก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศนั้นจึง "เป็นใจ" อย่างยิ่ง
ระหว่างที่นายกฯ และทีมงานพยายาม "ระบายน้ำ" ออกจากเมืองลงทะเลในสภาะแข่งกับเวลาอย่างนี้ ยังต้องเผชิญกับการ "ระบายแค้น" จากกลุ่มผู้มีอคติเหล่านี้อีก
ถ้อยคำเย้ยหยันจำพวก "โง่" "อ่อนหัด" และ "ไร้ประสิทธิภาพ" จึงปรากฏอย่างต่อเนื่อง
ยังไม่แน่ชัดว่า คำพวกนี้ช่วยสร้างสรรค์ หรือกระตุ้นให้รัฐบาลทำงานดีขึ้นได้ขนาดไหน
แต่คำที่สะท้อนถึงการเหยียดเพศที่ยังเกาะหนึบอยู่ในสังคมไทยได้ชัดเจนที่สุด คือการโจมตีว่า เพราะนายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นผู้หญิง
ไม่ว่าจะเป็นวาทะจิกด่า "สาวเหนือ" ด้วยคำว่า หน้าด้านและไร้สติปัญญา
หรือประโยคว่า "ความละมุนของเธอนั้น จริงๆ แล้วมาจากความอ่อนแอ"
น่าสังเกตว่า ข้อความจากคนเหล่านี้ไม่ปรากฏเหตุผลว่า การเป็นผู้หญิงขัดขวางการทำหน้าที่เป็น "หัวหน้าทีม" รับมือกับปัญหาอย่างไร
ทั้งที่ประเด็นสำคัญสำหรับการเป็นผู้นำ อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นรวมพลังทีมงานช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้อย่างไร หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบหรือไม่
ความอ่อนแอที่เอ่ยอ้างนั้นเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีนอนกอดหมอนร้องไห้อยู่ที่บ้าน จนหนีการทำงานหรือไม่ - ก็ไม่ใช่
การเป็นสาวเหนือทำให้รอยหยักในสมองน้อยกว่า หรือรู้ผิดรู้ถูกน้อยกว่าคนภาคอื่นหรือไม่ - ก็ไม่ใช่
หรือการเป็นผู้หญิง ทำให้นายกฯ คนนี้ไม่กล้าเผชิญกับเสียงวิจารณ์ ติติงต่างๆ นานาหรือไม่ - ก็ไม่ใช่อีก
ถ้อยคำที่ปั้นแต่งกันสะใจเหล่านี้จึงเป็น "น้ำลาย" ที่สิ้นเปลืองต่อสังคมเป็นอย่างยิ่ง
ทำท่าจะระบายทิ้งได้ยากเสียด้วย