ที่มา Thai E-News
หากคุณมองว่ามันเป็นวิกฤต ลองพลิกเป็นโอกาสดูสิ นับได้ตั้ง 18 ข้อ...
โดย ชำนาญ จันทร์เรือง
ในวิกฤติน้ำท่วมปี พ.ศ.2554 นี้ ใครจะก่นด่า คร่ำครวญ โยนความผิดให้คนนั้นคนนี้ว่าเป็นเหตุให้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยก็ตาม แต่ผมกลับมองเห็นโอกาสในวิกฤตินี้
เพราะหากเราสังเกตให้ดี การผจญอุทกภัยในครั้งนี้คนไทยเราค่อนข้างจะมีสติ และรับสภาพที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
บางคนอาจจะมองว่า อาจจะเป็นเพราะความเชื่อในคำสอนของพุทธศาสนา แต่ไม่จริงทีเดียวนัก เพราะน้ำท่วมในครั้งนี้ท่วมไปหม ไม่ว่าจะเป็นบ้านสวนไร่นาของพี่น้องชาวพุทธ ชาวคริสต์ หรืออิสลาม(โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยุธยาและหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ)
ซึ่งอาจสรุปได้ว่าเป็นลักษณะพิเศษของคนไทยใน พ.ศ.นี้ โดยเฉพาะที่คนไทยเราส่วนใหญ่แล้วยังเป็นคนมองโลกในแง่ดีอยู่
เราอาจจะไม่มีระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัดดังเช่นชาวญี่ปุ่นที่ประสบภัยสีนา มิ แต่ในเรื่องของน้ำใจ ผมเชื่อว่าคนไทยที่มีให้กันไม่ได้ด้อยกว่าแน่นอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของขอทานที่ควักเงินออกจากกระป๋องใส่ตู้บริจาคตีพิมพ์ ลงหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ The Sydney Morning Herald ของออสเตรเลียที่เผยแพร่ไปทั่วโลก
ภาพ/ข่าว ประกอบบทความ http://www.smh.com.au/world/floods-bring-thais-together-as-rivals-put-conflict-aside-20111014-1lp8v.html
ที่ไม่ค่อยมีน้ำใจให้กันเท่าใดนักก็เว้นแต่ฝ่ายค้านกับรัฐบาลที่ฉวยโอกาสทุก ท่าที่จะโจมตีกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเชียลเน็ตเวิร์คและสื่อทั่วไป
โดยฝ่ายค้านก็ว่าฝ่ายรัฐบาลบริหารไม่เป็น ยักยอกของบริจาค ฝ่ายรัฐบาลก็โจมตีฝ่ายค้านว่ามัวแต่เล่นการเมืองไม่ช่วยกันแก้ปัญหาน้ำท่วม
มิหนำซ้ำหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านยังดอดหนีไปเที่ยวมัลดีฟเสียอีก ฯลฯ
ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองแบบน้ำเน่าที่ควรจะหายไปกับกระแสน้ำในครั้งนี้ได้แล้ว
แน่นอนว่าคนก็คือคนไม่ว่าจะเป็นไทยหรือคนชาติอื่น ที่ยังมีการลักเล็กขโมยน้อย มีการเบียดบังเอาของบริจาคไปให้พรรคพวกของตนหรือเข้ากระเป๋าตนเองก็คิดว่าคง จะมีบ้าง
เพราะพวกนี้คือสัตว์นรกในร่างคนที่ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน ผลกรรมย่อมตามสนองให้เห็นทันตาอยู่แล้ว
แต่เหนืออื่นใดคือการมองโลกในแง่ดีของคนไท ยที่แม้ว่าในตอนแรกอาจจะเครียดอยู่บ้าง เพราะการบริหารจัดการที่ไม่เป็นมวย เพราะต้องคอยตามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นวันๆ และเครียดที่ต้องคอยลุ้นว่าเมื่อใดน้ำจะมาถึงตนเสียที
แต่เมื่อน้ำท่วมเข้ามาจริงๆแล้ว กลับไม่มีการจลาจลหรือเกิดความวุ่นวายกันมากนัก อาจมีบ้างประปรายในเรื่องของคันกั้นน้ำที่ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องการให้อีกฝ่าย สร้าง เพราะจะไปท่วมเฉพาะที่ของตนเอง แต่ในที่สุดก็ไม่ลุกลามใหญ่โตแต่อย่างใดเพราะน้ำท่วมเสมอหน้ากันไปหมด
หากเราจะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการมองโลกในแง่ดี ด้วยการคิดเสียว่าน้ำท่วมครั้งนี้
1)เป็นการเปิดโอกาสให้พระโพธิสัตว์หรือผู้ใจบุญได้ปฏิบัติหน้าที่ เช่น คนจนได้ช่วยแรง คนรวยได้ช่วยเงิน เป็นต้น
2) เราได้มีโอกาสอยู่พร้อมกันทั้งบ้าน หลังจากไม่ได้ดูทีวีด้วยกันมานานแล้ว ใช้ชีวิตช้าลง ไม่ต้องออกไปไหน
3)ทำให้เรารู้ว่าสิ่งของต่างของเรานั้นสิ่งไหนมีความจำเป็นที่แท้จริงกับเรา เพราะเวลายกสิ่งของขึ้นสูงเราจะเลือกสิ่งนั้น อันไหนไม่สำคัญก็เอาไว้ยกทีหลังเพราะมันหนักและขี้เกียจ แต่หากจำเป็นต้องอพยพ เราจะนึกออกว่าอะไรคือของจำเป็นจริงๆกับเรา หรือเราคิดถึงสิ่งใดบ้างเมื่อต้องสละบ้านเรือนมา
4)หากไม่ได้อพยพไปไหนก็ทำให้เราเป็นอิสระในการทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ต้องกลัวข้างบ้านรำคาญเพราะเสียงดัง ด้วยเหตุว่าข้างบ้านอพยพไปหมดแล้ว
5)ทำให้เราเรียนรู้วิธีใช้น้ำอย่างฉลาด เช่นใช้น้ำกันน้ำได้ เพราะเราสามารถใช้ถุงพลาสติกใส่น้ำวางได้ และถ้าต้องลุยออกจากบ้าน เราก้เอาถุงพลาสติกเล็กๆมัดรวมกันหลายถุงแล้วใส่ถุงใหญ่มัดอีกที แล้วทำเป็นทุ่นเกาะ ออกมาปากทางหมู่บ้านได้
6)ทำให้รู้วิธีซักผ้าเองด้วยมือ เพราะเครื่องซักผ้าถูกยกขึ้นที่สูงไปแล้วเพื่อหนีน้ำ และทำให้รู้คุณค่าของเสื้อผ้าแต่ละชุดที่จะใส่อีกด้วย
7)ได้ออกกำลังกายหลังจากที่ไม่ได้ออกกำลังมานาน เพราะจะต้องวันๆได้แต่ยกของ กรอกน้ำ วิดน้ำ ฯลฯ
8)ได้อยู่กับบ้านมากขึ้น เพราะต้องเฝ้าระวัง ต้องกับสิ่งของที่มี ออกไปช็อปปิงเพิ่มก็ไม่ได้ ทำให้เรารู้ว่าสมบัติข้าวของที่เรามีนั้นมากมายเกินกว่าจะระวังได้ทั่วถึง ในทางกลับกันก็เป็นช่วงระยะเวลาที่ดีที่เราจะต้องโละสิ่งของที่ไม่จำเป็น ทิ้งไปบ้าง หรือเลือกที่จะเก็บอะไรไว้
9)ข้อดีที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือเราได้รอดพ้นภัยของซองกฐิน ผ้าป่า ที่ทำให้จิตใจเราต้องขุ่นมัวเมื่อถูกยัดเยียดหรือถูกบังคับโดยอ้อมให้ทำบุญ ในสิ่งที่เราไม่อยากทำ และเราจะไม่ต้องได้บาปเพิ่มขึ้นเพราะไม่ต้องก่นด่าในใจต่อผู้ที่เอาซองมาให้
10)ทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นกับการดูแผนที่แม่น้ำคูคลอง ทั้งจากการศึกษาด้วยตนเองและจากการดูโทรทัศน์(สำหรับบ้านที่ยังดูได้) อีกทั้งยังทำให้เรารู้ที่มาออกๆรายการกันนั้นน่ะ ใครมีกึ๋นหรือไม่มีกึ๋น
11)ทำให้เรารู้สึกตัวเป็นผู้ตื่นอยู่เสมอ เพราะต้องระวังภัยและศึกษาวิธีเอาตัวรอดจากสัตว์ร้ายต่างๆ เช่น งู จระเข้ ปลิง ยุง ฯลฯ
12)เป็นช่วงเวลาที่ได้ทบทวนทักษะการว่ายน้ำหลังจากเรื้อไปนาน
13)ทำให้ได้บรรยากาศหรือประสบการณ์ใหม่ๆ โดยเปลี่ยนจากขึ้นรถมาลงเรือแทน
14)ทำให้ปัสสาวะง่ายขึ้น คือ ฉี่ลงน้ำ(กรณีอยู่บนบ้าน)หรือฉี่ในน้ำเสียเลย(กรณีลุยน้ำ)
15)ทำให้สวนที่บ้านเลิกรก เพราะตอนที่น้ำท่วมก็ราบเรียบโล่งตา หลังจากน้ำลดก็ต้องจัดใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องสวยกว่าเก่า(ถ้ายังไม่หมดตัวเสียก่อน)
16)ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น(อันนี้ดีมาก) กรณีที่ต้องอยู่เงียบๆคนเดียวเป็นเวลานานๆ
17)ทำให้เราได้รู้จักผู้คนมากขึ้นในกรณีที่ต้องไปอยู่ที่ศูนย์อพยพฯ แม้ ว่าบางคนโทรศัพท์มือถือจะหายก็ตาม ก็ถือเสียว่าอย่างน้อยที่ชาร์จแบตเตอรียังอยู่ คราวต่อไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่รุ่นเดียวกันจะได้มีที่ชาร์จ 2 อัน
18)ทำให้หมดปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างสีต่างๆ ไม่ว่าสีเหลือง สีแดง หรือสีซ่าหริ่ม เพราะไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้ ทำให้ต้องหันหน้าเข้าหากันโดยอัตโนมัติ(ยกเว้นไอ้พวกที่ไม่ถูกน้ำท่วมที่ยัง หลงละเมอเพ้อพกอยู่ แต่ก็น้อยแล้ว)
จากที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยที่นึกขึ้นได้ และผมเชื่อว่าในวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ อยู่ที่เราจะสามารถมองเห็นและนำไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตเราได้มากน้อยแค่ ไหน เพียงได
ใช่ไหมครับ
-------------------
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2554