ที่มา ประชาไท
กรกช เพียงใจ
ใครบางคนบอกว่า “ข้อเท็จจริง” (fact) นั้นแตกต่างจาก “ความจริง” (truth)
บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล
แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย
หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....
- - - - - - - - - - - -
เย็นวันที่ 13 เมษายน 2552
บรรยากาศในช่วงบ่ายแก่จนถึงเย็นค่อนข้างตึงเครียด เพราะมีข่าวมาตลอดทั้งวันเกี่ยวกับการปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงที่สามเหลี่ยมดินแดง บวกกับเกิดเหตุปะทะกันรุนแรงหลายจุดรอบนอกตลอดทั้งวัน ทั้งอุรุพงษ์ เพชรบุรี ขณะที่ทหารเริ่มเคลื่อนเข้ามาใกล้เพื่อปิดล้อมทำเนียบฯ
ข่าวต่างๆ ถูกเล่าปากต่อปากจากผู้เห็นเหตุการณ์ ขยายวงไปเรื่อย ถึงตอนนั้นฉันรู้สึกหวาดหวั่น และคาดเดาไม่ถูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในที่ที่ยืนอยู่
ผู้ปราศรัยประกาศตั้งแต่ช่วงบ่ายให้การ์ด ณ จุดรอบนอกมารวมที่ทำเนียบฯ เพราะการตั้งด่านสกัดด้วยคนจำนวนน้อยมีแต่เสี่ยงต่อการถูกสลาย ถูกโจมตีด้วยความรุนแรง เขาประกาศซ้ำอีกทีในช่วงเย็นบอกประชาชนว่าไม่ต้องตกใจ และขออาสาสมัครผู้หญิง 30 คน เพื่อเป็นด่านหน้าตั้งแผงสกัดทหารด้านแยกนางเลิ้ง แยกสวนมิสกวัน โดยจะมีครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ เป็นผู้นำไป
ไม่กี่นาที ด้านหลังเวทีคราคล่ำไปด้วยผู้หญิงโดยส่วนใหญ่เป็นวัย 40 ปีขึ้นไป น้าๆ ป้าๆ เหล่านี้ดูกระตือรือร้นและไม่มีแววตาหวาดหวั่น พวกเขาพยายามรับดอกกุหลาบแดงที่มีคนนำมาแจกเพื่อไปมอบให้ทหาร ขณะที่บนเวที ไพจิตร อักษรณรงค์ กำลังร้องเพลงดอกไม้ให้คุณขอมอบดอกไม้ในสวนนี้เพื่อมวลประชา อย่างไพเราะ
.......เป็นกำลังใจให้คุณ เป็นกำลังใจให้เธอ เป็นสิ่งเสนอให้คุณ....
แม้บรรยากาศจะดูสบายๆ ทุกคนพยายามช่วยกันรักษาที่มั่น แต่จิตใจของฉันกลับว้าวุ่น ณ เวลานั้นเราไม่รู้จริงๆ ว่าการปราบปรามจะเกิดขึ้นหรือไม่ และจะมีความรุนแรงเพียงใด ภาพข่าวทหารกับปืนเอ็มสิบหกที่เห็นมาทั้งวันไม่สามารถสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยได้เลย
ฉันเดินไปเดินมา เดินมาแล้วก็เดินไป โดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี ด้านหลังเวทีเป็นแหล่งศูนย์รวมข่าวสารต่างๆ ที่ยิ่งทำให้อาการว้าวุ่นกลายสภาพเป็นฟุ้งซ่านได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อแบตมือถือ และแบตกล้องดิจิตอลป๊อกแป๊กกำลังจะหมดลงพร้อมๆ กัน
0000
การ์ดตัวอ้วนคนหนึ่งวิ่งมาหลังเวที เพื่อแนะนำการจัดขบวนกับแกนนำ “พี่ช่วยประกาศบนเวทีหน่อย แบบนี้มันไม่ไหว เรามีคนเยอะแต่ทำอะไรไม่ได้เลย” เขาพยายามแนะนำให้แกนนำประกาศบนเวทีเพื่อแจ้งต่อการ์ดที่ตั้งด่านอยู่บริเวณรอบทำเนียบ โดยให้ทุกคนเอามือคล้องแขนกันและไม่ต้องวิ่งหนี และใช้นกหวีดเป็นสัญญาณ เนื่องจากสภาพที่เขาพบเจอคือเมื่อทหารประชิดเข้ามาทุกคนก็จะระดมขว้างปาสิ่งของต่างๆ แต่เมื่อมีการยิงปืนขึ้นฟ้าทุกคนก็วิ่งกันแตกกระเจิงไป
“ถ้าเราบอกว่าเราเป่าปี๊ดยาวๆ คือให้ทุกคนตั้งแถวคล้องแขนกันหลายๆ แถว พี่ตำรวจเขาบอกมาให้ยืนแบบนี้ (ทำท่าประกอบ) แล้วพอเป่าปี๊ดสั้นๆ ก็ให้เราถอย 3 ก้าว 5 ก้าวพร้อมๆ กัน อย่างนี้ยังจะพอทานไหว ไม่งั้นมันต่างคนต่างวิ่ง พอปืนดัง ข้างหลังวิ่งหมด ข้างหน้าก็ต้องวิ่งแล้ว” เขาพยายามอธิบายเป็นขั้นเป็นตอน และยังชักแม่น้ำทั้งห้ามารองรับได้อย่างใจเย็น
“พี่เข้าใจไหม มันก็เหมือนเกลียวเชือก ถ้าเกลียวเล็กๆ รวมๆ กันมันจะเป็นเชือกมะนิลา”
เขายังเล่าถึงเหตุการณ์เยื้องๆ กับแยกมิสกวัน ซึ่งจู่ๆ ก็มีคนขับเอารถเมล์มุ่งไปในกลุ่มทหารตรงแยกมิสกวันทำให้ทหารต้องกระโดดหลบ ทหารยิงรถเมล์คันนั้นจนพรุน และลากตัวคนขับเข้าไป แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่ามันอาจเป็นการจัดฉากก็ได้ เพราะมีทหารใส่เสื้อแดงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนมาก และการขับนั้นไม่ได้หมายพุ่งชนแต่ขับไปเร็วๆ แล้วก็จอดด้านหน้า เมื่อลากตัวคนขับมาได้ทหารก็โวยวายๆ ใส่ จากนั้นก็คุมตัวหายเข้าไป อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ทำให้คนเสื้อแดงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งพยายามจะเข้าไปช่วยคนขับรถเมล์ที่สวมเสื้อแดง ทำให้เกิดการปะทะกัน และทหารยิงปืนขู่จนชาวบ้านหนีแตกกระเจิง
โฆษกบนเวทีคนหนึ่ง ซึ่งฉันจำชื่อไม่ได้ กำลังจดสิ่งที่เขาแนะนำอย่างตั้งใจ ตึงเครียด และดูท่าเหมือนไม่รู้จะจัดการอย่างไร ขณะที่บนเวทีหมอเหวงและแกนนำคนอื่นๆ พยายามขึ้นไปอ่านแถลงการณ์สนับสนุนฉบับต่างๆ ที่มีคนส่งมาให้ผู้ชุมนุมฟัง โดยที่ไม่ได้ยินการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงตอบโต้แต่อย่างใด
ฉันเดินไปหยิบน้ำที่แจกฟรีมาตุนไว้ 2 ขวด ยืนดูดบุหรี่ฆ่าเวลาและฆ่าความว้าวุ่นในจิตใจ เนื่องจากมีโทรศัพท์จากหลายๆ คนแนะนำให้ออกจากพื้นที่ เพราะขณะนี้ทหารได้เคลื่อนกำลังเข้ามาล้อมไว้ทุกด้านแล้ว ประกอบกับข่าวคราวการทุบตีทำร้ายคนเสื้อแดงที่พยายามออกนอกพื้นที่ โดยกลุ่มประชาชนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นเสื้อสีต่างๆ ซึ่งตั้งด่านสกัดอยู่รอบนอกกลุ่มทหาร ยิ่งทำให้ทางเลือกของคนอยากกลับบ้านแทบไม่มีเหลือ
ป้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามากับเพื่อนอีกคน หน้าตาเหรอหรากำลังเล่าเรื่องให้คนหลังเวทีฟัง ฉันเดินเข้าไปฟังด้วย แกเล่าปากคอสั่นว่าแกไปอยู่ที่แยกมิสกวัน (น่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับที่การ์ดเล่าเมื่อสักครู่) และว่าพอทหารยิงปืนและวิ่งบุกเข้ามา คนเสื้อแดงก็แตกกระเจิง กลุ่มผู้หญิงวิ่งหนีไปหลบหลังตำรวจประมาณ 1-2 กองร้อยที่ตั้งแถวอยู่หน้าแยก บช.น.ซึ่งอยู่เยื้องๆ กันกับที่เกิดเหตุ เมื่อทหารวิ่งเข้ามา ตำรวจชูปืนขึ้นแล้วตะโกนว่า “กูมีปืนนะ กูมีปืนเหมือนกัน ถ้ามึงยิงประชาชน กูจะยิงมึง” ป้าเล่าด้วยว่าหัวหน้าหน่วยทหารยิ้มๆ แล้วสั่งให้ลูกน้องถอยกลับไปอยู่ที่ตั้ง
“ถ้าไม่ได้ตำรวจ เราแย่แน่ ”
“แล้วจะเอายังไงดีป้า กลับบ้านก่อนดีมั้ย”
“ก็อยากกลับ ที่บ้านลูกก็รออยู่สองคน แต่เราปล่อยเพื่อนๆ ไว้ไม่ได้ ทิ้งไม่ลง”
แทนที่ฉันจะได้เพื่อนกลับบ้าน มันยิ่งทำให้ฉันเข่าอ่อน ก้าวขาไม่ออก ต้องกลับมานั่งตั้งหลักใหม่
จากนั้นไม่นาน นักข่าวและช่างภาพจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่เพิ่งตระเวนทำข่าวรอบนอกด้านถนนราชดำเนินนอก กลับเข้ามาส่งข่าวหลังเวที ในสภาพเหงื่อโทรมกาย เขาทักทายกับนักข่าวอีกคนที่กำลังเก็บของ เขาเป็นนักข่าวไทยสองคนที่ยังหลงเหลืออยู่หลังเวทีในเวลานี้ เพราะคนอื่นๆ ออกไปประจำการด้านนอกหมดแล้วตั้งแต่เกิดเหตุที่สามเหลี่ยมดินแดงในช่วงเที่ยง
เขาดูดบุหรี่และเลือกภาพที่ได้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่เคร่งเครียด ขณะที่ปากก็บ่นถึงการจลาจลที่ควบคุมไม่ได้ มีเสียงปืนให้ได้ยินตลอดเวลา กระทั่งมีการเผาตึก เผารถเมล์ ที่สำคัญ เขาต่อว่าแกนนำโดยบอกว่าเขาไม่สามารถทำงานต่อได้เพราะผู้ชุมนุมเริ่มหันมาคุกคามสื่อมวลชนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมอยู่ไม่ได้แล้ว พวกนั้นจะหันมาตื้บผม”
“ตอนนี้มันเละไปหมดแล้ว”
ฉันพยายามสอบถามถึงสถานการณ์ในด้านต่างๆ ที่ทหารปิดล้อม แต่ยังไม่มีความรุนแรง
“ถ้าจะออกก็ด้านสวนจิตรฯ น่าจะดีสุด แล้วก็เดินเอา เดินไปเรื่อยๆ ... จะกลับแล้วหรือ อย่าเพิ่งกลับ อยู่ร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ด้วยกันก่อน ยังไงคงจบคืนนี้ ถ้าไม่ปราบก็คงล้อมให้แห้งตาย”
ฉันกลับมานั่งตั้งหลักอีกรอบ รู้สึกชื่นชมนักข่าวภาคสนามคนนี้ พร้อมกับรู้สึกผิดที่จะหนีเอาตัวรอด
พอดีกับที่หันไปเห็น วัฒน์ วรรลยางกูร กับลูกชาย และไม้หนึ่ง ก. กุนที ศิลปินคนเสื้อแดงนั่งสนทนากันสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ต่อให้คนที่ผ่านสนามรบมาแล้ว เข้าป่า ผ่านเขตงานต่างๆ มาแล้ว ก็น่าจะต้องหวาดหวั่นบ้างกับชะตากรรมข้างหน้า แต่เขาคงควบคุมสภาพอารมณ์ได้ดี คุยกับยิ้มแย้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือพวกเขาอาจประเมินในทางดี อย่างน้อยที่นี่ก็มีป้าๆ อีกจำนวนมากที่ไม่ยอมกลับบ้าน แต่สารภาพตามตรง ด้วยกระแสสังคมที่เห็นด้วยกับการปราบปรามตอนนั้น ฉันรู้สึกว่า ป้าก็ป้าเถอะ ฉันไม่แน่ใจกับอะไรอีกแล้ว
0000
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “แม่โทรมา!!!” ฉันพยายามหาที่ที่เสียงดังน้อยที่สุด ...ไม่มี จึงมุดเข้าไปใต้โต๊ะทำงานสื่อมวลชนเอามือป้องปากแล้วโกหกว่าออกจากม็อบไปนานแล้วเพื่อให้เขาสบายใจ
“เราทำอะไรไม่ได้มากหรอกนะ เอาชีวิตให้รอดไว้ แล้วค่อยว่ากันยาวๆ” เสียงสุดท้ายจากแม่บังเกิดเกล้า
“เราไม่มีกล้องทีวี กล้องดีๆ ยังไม่มีซักตัว เหตุการณ์แบบนี้มันต้องใช้ภาพ อยู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ไปอยู่ที่โรงพยาบาลดีกว่า” เสียงเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งแว่วผ่านโทรศัพท์
ด้วยสภาพกายที่อิดโรยเต็มทีเพราะไม่ได้นอน และสภาพจิตใจที่ว้าวุ่น ฉันค่อยๆ ไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินหันหลังออกมาจากที่นั่น มุ่งไปทางสวนจิตรฯ โดยไม่หันมองอะไรอีก
แต่พระเจ้าไม่เข้าข้าง ระหว่างทางฉันเจอกับพี่ที่รู้จักอีกคนจนได้ เขากำลังยืนยิ้มแย้มพูดคุยกับคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งที่ช่วยกันเก็บขยะริมทางเท้าใส่ถุงดำจนเกลี้ยง บ้างกำลังกวาดพื้น อันที่จริงพี่คนนี้เป็นเจ้าของความคิด “เสื้อแดง” ตัวจริง แต่เป็นสีแดงที่ใช้รณรงค์ต้านรัฐประหารและตลอดจนช่วงไม่รับรัฐธรรมนูญ 50 เขายิ้มแล้วเล่าว่ากลุ่มนี้น่าสนใจเขามากันเอง 7-8 คนและคิดว่านั่งฟังปราศรัยเฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์มาช่วยกันเก็บขยะดีกว่า ! ... ฉันยิ้มแหยๆ แล้วขอตัวลา ทั้งชื่นชมและทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมเขายังมานั่งเก็บขยะกันอยู่ได้
มันน่าจะเป็นเวลาราวทุ่ม สองทุ่ม เมื่อเดินถึงแยกวัดเบญฯ ติดกับสวนจิตรฯ ทหารตั้งแถวตรึงกำลังที่นั่น..ไม่มากนัก แต่ที่มากกว่ามากคือกลุ่มผู้หญิงเสื้อแดงที่ไปตั้งแถวร้องเพลงต่อหน้ากลุ่มทหาร ตอนฉันเดินผ่านพวกเขาที่ยืนนิ่งร้องเพลงสดุดีมหาราชากันหลายรอบเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ฉันเดินไปถ่ายภาพ มีป้าคนหนึ่งยิ้มให้แล้วพยักหน้าเหมือนจะชวนให้ฉันมาร่วมวงร้องด้วย ฉันเบือนหน้าหนี แล้วเดินเลาะไปจนสุดแถวทหาร
“ออกได้ไหม”
“ได้”
ทหารนายหนึ่งเปิดทางให้ ฉันกลั้นใจแทรกตัวเดินออกไป เพื่อไปดักรอหาหลักฐาน นับจำนวนคนเจ็บ คนตาย ถ้าหากจะมี ที่โรงพยาบาล .... จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา