ที่มา Thai E-News
โดย คุณ อัคนี คคนัมพร
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
22 พฤศจิกายน 2552
เมื่อผู้เขียนพูดว่า หนัง-ละคร กำลังจะจบฉากอีกตอนหนึ่งนั้น ก็มีคนถามว่า มันจะจบลงอย่างไร ในเมื่อรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคงมีเสียงข้างมากอยู่ในสภา และพรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังไม่มีใครออกอาการว่า จะผละจาก
ข้อนี้ ผู้เขียนก็ยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะเหตุว่า ดูจากสีหน้าท่าทางของนายอภิสิทธิ์แล้ว ก็รู้สึกได้ว่า ท่านยังอยู่สุขสบาย ไร้กังวล ยิ้มหยันผู้คนได้เป็นปรกติ ไม่มีความวิตกทุกข์ร้อน ทั้งที่กิเลนประลองเชิง กองเชียร์คนสำคัญ ก็เขียนถึงท่านว่า เวลานี้ กำลังรับบท “พระรามคลุกฝุ่น” แทนหนุมานเสียแล้ว
นายอภิสิทธิ์คงไม่รู้จริงๆ ว่า ประเทศไทยถูกดูดเข้าสู่หลุมดำลึกเพียงใด ภายใต้การบริหาร 10 เดือน ของพรรคประชาธิปัตย์
ตัวนายกฯเองนั้น รับงานปาฐกถา-เปิดงาน และงานพิธีทางสังคมอื่นๆ รวมวันละหลายงาน ก็เลยนึกว่า ตัวเองทำงานหนักเพื่อประเทศชาติ และปัญหาสำคัญจริงๆ ของชาติก็ได้รับการแก้ไขไปมากแล้ว
อนิจจาเอ๋ย! นายกฯหารู้ไม่ว่า การขยันทำงานตัวเป็นเกลียวของท่านนั้น มันเข้าตำรา โง่แล้วขยัน ที่หลายคนพูดกันว่า ผู้นำประเทศยุคราชาธิปไตยนั้น ท่านต้องการประหารคนประเภทนี้ ไม่ใช่เลี้ยงไว้ให้สร้างปัญหา
นายอภิสิทธิ์ นักเรียนอังกฤษผู้ร่ำเรียนวิชาเดียวกันมาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แบบเดียวกับท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ไม่รู้ตัวเลยสักนิดเชียวหรือว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ มันตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหน
ทางภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นภาคนำนั้น ย่ำแย่ติดต่อมา 3 ปี หากไม่ได้รับการเยียวยาโดยด่วนเสียภายในปีหน้า ก็จะไม่มีใครสามารถป้องกันไม่ให้ล้มละลายกันได้อีกแล้ว
ทางด้านภาคเกษตรคือรากหญ้า ซึ่งได้แก่รากฐานที่แท้จริงของเศรษฐกิจไทย ดังที่ได้พิสูจน์กันมาแล้วในปี 2540-2544 ว่า ถ้าไม่มีภาคเกษตรคอยค้ำยัน ตอนนั้นเราก็ไม่เหลือสภาพความพอมีพอกินไว้ให้เห็น
คนไทย คงจะต้องถือกะลาขอทานอยู่ตามประเทศมาเลเซียหรือกัมพูชาก็ไม่แน่ !
แต่ภาคเกษตรที่เข้มแข็ง ก็ช่วยค้ำยันสังคมไทยไว้ได้ในครั้งนั้น ถึงวันนี้ ภาคเกษตรกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะใกล้โคม่าอีกแล้ว
เมื่อราคาข้าวตกไปอยู่ที่เกวียนละ 5,000-6,000 บาทเท่านั้น ทั้งที่ความเป็นจริงควรจะอยู่ที่ 10,000-12,000 บาท
ยางพารา ก็ควรจะอยู่ที่ กก. ละ 70-80 บาท แทนที่จะเป็น 50-60 บาท
พืชไร่อย่างอื่นที่ปลูกกันในภาคเหนือและภาคอีสานไม่ต้องพูดถึง!
เมื่อเราพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจ ถึงแม้ว่า เศรษฐกิจไทย จะย่ำแย่ถึงขั้นกู้เงินเขามากิน กู้เงินเขามาโกงเพียงใด แต่เอาเข้าจริง ปัญหาเศรษฐกิจ ก็ไม่เคยฉุดให้รัฐบาลล้มลงได้ เพราะรัฐบาลทุกรัฐบาล ย่อมมีลูกเล่นด้านงาน Propaganda พอเอาตัวรอดไปได้
เอาเข้าจริง รัฐบาลไทยมักอยู่ไม่รอด เมื่อปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมมันถึงจุดเดือด หรือพูดง่ายๆ ว่า สำนวนไทยที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” นั่นต่างหาก
ปัญหาความเป็นธรรมในสังคมไทยในขณะนี้ รุนแรงถึงจุดเดือด
ผู้พิพากษา 3 ท่าน ที่ออกมาแสดงตัวต่อสาธารณะ เพื่อบอกให้คนรู้ว่า แม้ผู้พิพากษาก็เหลือทนเหมือนกันคือ
1.ท่านมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ
2.ท่านอุดม มั่งมีดี และ
3.ท่านกีรติ กาญจนรินทร์
ทั้ง 3 ท่านนี้ เปรียบได้กับปรอทที่บอกอุณหภูมิร้อนแรงของความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย
ท่านมานิตย์นั้น ท่านพูดมานาน และท่านได้เป็น ส.ส. ไปแล้ว ช่างท่านเถิด
แต่ท่านอุดม มั่งมีดี ที่ออกมากล่าวคำขอโทษคนไทยทั้งประเทศ ที่กระบวนการยุติธรรมไทยใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน มาตลอด 3 ปีนั้น คนที่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมต้องรับฟัง
หรือท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็เช่นเดียวกัน
ท่านผู้นี้ได้เขียนคำพิพากษาประวัติศาสตร์ สำหรับวงการศาลไทย เมื่อท่านต้องตัดสินคดีที่ ป.ป.ช. ร้องขอให้ลงโทษนายยงยุทธ ติยะไพรัช ฐานแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ผู้พิพากษาผู้ซึ่งมีจิตวิญญาณนักประชาธิปไตยท่านนี้ ได้พิพากษาว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะผู้ร้องเป็นองค์กรที่ถูกตั้งขึ้นโดย คปค. หรือตอนหลังคือ คมช.
คปค. หรือ คมช. คือผู้ที่ปฏิวัติรัฐประหาร จึงได้อำนาจมาโดยมิชอบโดยวิถีทางประชาธิปไตย
อันที่จริง คปค. หรือ คมช. ได้รับนิรโทษกรรมให้พ้นผิดคดีอาญา มาตรา 113 แล้ว แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่มีอำนาจที่จะตั้งองค์กรต่างๆ ขึ้นมาจัดการกับคนอื่น
พูดตรงๆ ก็คือ ผู้พิพากษาท่านนี้ ปฏิเสธอำนาจปฏิวัติ
คำพิพากษานี้ จุดไฟในหัวใจประชาชนผู้รักความเป็นธรรมให้ลุกโพลง จุดไฟให้นักประชาธิปไตย ได้เกิดความคึกคัก และมั่นใจในแนวทางต่อสู้ที่ดำเนินมา
ผู้เขียนเห็นว่า รัฐบาลจะอยู่ไม่ได้ เพราะเหตุนี้เป็นหลัก
ส่วนเรื่องพรรคร่วมรัฐบาลนั้น อย่าไปหวังพึ่งเลย
พวกเขาเป็นขอนไม้ผุๆ ลอยน้ำมา แถมมีอสรพิษติดอยู่บนขอนไม้ โขยงใหญ่ด้วย