ที่มา Thai E-Newsสันติวิธีจะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้คนเห็นโทษของความรุนแรงว่า ไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่ทางลัดไปสู่ความสงบ อันนี้เป็นบทเรียนสำหรับคนในเมืองที่รียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้ชุมนุมเพื่อบ้านเมืองจะสงบโดยเร็ว อาตมาอยากจะย้ำว่าไม่มีทางลัดสู่ความสงบ มันต้องใช้เวลา
ถ้าต้องการใช้ความสงบโดยเร็ว ผลที่ได้จะกลับตรงข้ามคือความสงบยิ่งหลุดลอยจากมือเราไป เกิดความวุ่นวายมากขึ้น แต่ถ้าเราอดทนอดกลั้น ความสงบอาจจะมาเร็วกว่านี้ก็ได้
โดย พระไพศาล วิสาโล
ที่มา เวบพระไพศาล วิสาโล
คนไทยควรทำอย่างไรในสถานการณ์ขณะนี้
ตอนนี้อาตมาคิดว่าทุกฝ่ายทั้งรัฐบาลและนปช.จะต้องพยายามตั้งสติให้ได้ และพยายามอยู่ในความสงบ ไม่ใช้มาตรการเชิงรุก และหันมาทบทวนดูว่าได้เกิดความสูญเสียอะไรบ้าง ทั้งกับฝ่ายของตัว ทั้งกับส่วนรวมและประเทศชาติ
อยากให้ใช้เวลานี้ในการตั้งหลักกันใหม่ ปรับขบวนกันให้ดี เพราะทุกฝ่ายต่างยืนยันว่าตัวเองใช้สันติวิธี ยึดมั่นในสันติวิธี อดทนอดกลั้น อาตมามองว่าทุกฝ่ายอาจมีเจตนาดี แต่พอเกิดการปะทะกันแล้ว คุมสถานการณ์ไม่อยู่ ก็เลยใช้ความรุนแรงกัน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องป้องกันมิให้เกิดขึ้นอีก ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดการใช้ความรุนแรง เพราะหากเกิดความเสียหาย มันไม่ได้เสียหายกับคู่กรณีเท่านั้น มันเสียหายกับผู้บริสุทธิ์แลประเทศชาติด้วย
อยากให้พวกเราแผ่เมตตาแก่ผู้สูญเสีย ไม่ว่านปช.หรือผู้บริสุทธิ์ พวกเขาทุกคนมีครอบครัว มีคนรัก เขาก็ก็รักชาติเหมือนเรา ฉะนั้นการที่เขาสูญเสียชีวิต จึงนับว่าเป็นความสูญเสียของคนไทยด้วยกัน ว่าที่จริงแล้วเหตุการณ์นี้ทุกคนเป็นฝ่ายสูญเสียหมด ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ เป็นผู้พ่ายแพ้กันหมด รวมทั้งรัฐบาลและนปช. นอกจากสูญเสียเพื่อนพ้องแล้ว วันนี้ไม่มีฝ่ายใดที่พูดได้อีกว่าตนยึดมั่นในสันติวิธี
แทนที่วันนี้เราจะพยายามแก้แค้นกัน หรือหาทางตอบโต้กันเพี่อแก้แค้นให้กับพี่น้องของเรา ไม่ว่ารัฐบาลหรือนปช. อาตมาขอเรียกร้องให้กลับมาตั้งสติกันใหม่ ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหยุดยั้งความรุนแรง
ขอให้ตระหนักว่าความรุนแรงนั้นมาจากใจที่โกรธเกลียดมีอคติต่อกัน ถ้าเรายังปล่อยให้ความโกรธเกลียดครอบงำจิตใจ เราก็หลีกไม่ได้ที่จะทำร้ายกัน แม้จะไม่มีอาวุธใด ๆ เลย ก็ทำร้ายกันด้วยวาจา ซึ่งก็นำไปสู่การทำร้ายกันในที่สุด
อาตมาอยากให้วันนี้เป็นวันที่ทุกฝ่ายไว้อาลัยกับผู้สูญเสีย แผ่เมตตาให้แก่ทุกฝ่าย แผ่เมตตาให้ตัวเองด้วย เพราะพวกเราได้มีส่วนร่วมให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งแผ่เมตตาให้ตนเองในฐานะที่เราเป็นผู้สูญเสีย จากนั้นขอให้ไตร่ตรองว่าทำอย่างไรเราจึงจะมีสติ สามารถเอาชนะความโกรธเกลียดในใจ รวมทั้งก้าวข้ามความรุนแรงที่กำลังก่อตัวอยู่ตอนนี้ แม้เป็นเรื่องยาก แต่ก็เป็นสิ่งที่เราควรทำ
อาตมาคิดว่านี้เป็นสิ่งเฉพาะหน้าที่เราควรทำในวันนี้
เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างนี้ สันติวิธีจะมีโอกาสเป็นจริงได้อย่างไร
สันติวิธีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนตระหนักว่าความรุนแรงไม่ใช่ทางออก เหตุการณ์เมื่อวานนี้(10เม.ย.2553)ชี้ว่าเมื่อความรุนแรงเกิดขึ้น ไม่ว่าใครเริ่มต้นก่อนก็ตามมันมีโอกาสที่เกิดความสูญเสียได้ง่าย ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนก็ตาม ถ้าอีกฝ่ายตั้งอยู่ในความสงบ มั่นคงในสันติวิธี ความสูญเสียก็จะน้อย ทั้งฝ่ายของผู้ถูกกระทำ และกับบ้านเมืองส่วนรวม ขณะเดียวกันก็จะทำให้ผู้ใช้ความรุนแรงแพ้ภัยตนเอง
อาตมาคิดว่าพวกเราต้องเอาเหตุการณ์วันที่๑๐เมษายนเป็นบทเรียน ที่จริงเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้วก็ชี้ชัดอยู่แล้วว่า ผู้ที่ใช้ความรุนแรงก่อนหรือใช้ความรุนแรงที่เข้มข้นกว่า ก็จะต้องพ่ายแพ้ไป ที่จริงเมื่อปีที่แล้วนปช.ก็ได้บทเรียนข้อนี้ ปีนี้จึงประกาศตัวว่ายึดมั่นในสันติวิธี ซึ่งก็ได้รับความสำเร็จพอสมควร เพราะ ๒๐ กว่าวันที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์รุนแรง แต่เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นก็เป็นไปได้ว่า ยังไม่สันติวิธีกันเพียงพอ หรือยังไม่มีการร่วมไม้ร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกฝ่าย
สันติวิธีจะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้คนเห็นโทษของความรุนแรงว่า ไม่ใช่คำตอบ ไม่ใช่ทางลัดไปสู่ความสงบ อันนี้เป็นบทเรียนสำหรับคนในเมืองที่รียกร้องให้รัฐบาลใช้มาตรการเด็ดขาดกับผู้ชุมนุมเพื่อบ้านเมืองจะสงบโดยเร็ว อาตมาอยากจะย้ำว่าไม่มีทางลัดสู่ความสงบ มันต้องใช้เวลา
ถ้าต้องการใช้ความสงบโดยเร็ว ผลที่ได้จะกลับตรงข้ามคือความสงบยิ่งหลุดลอยจากมือเราไป เกิดความวุ่นวายมากขึ้น แต่ถ้าเราอดทนอดกลั้น ความสงบอาจจะมาเร็วกว่านี้ก็ได้
อันนี้เป็นบทเรียนว่าทุกฝ่ายอยากปิดเกมเร็ว ๆ ฝ่ายประชาชนจำนวนไม่น้อยก็กดดันคุณอภิสิทธิ์ให้ใช้มาตรการรุนแรง ฝ่ายผู้ชุมนุมก็อยากให้แกนนำรีบเผด็จศึกเร็ว ๆ แล้วมันก็ลงเอยแบบนี้แหละ
อาตมาอยากให้ทุกฝ่าย รวมทั้งคนที่ไม่อยู่ฝ่ายใดด้วย พึงตระหนักว่าทางลัดสู่ความสงบไม่มี สันติวิธีต้องใช้เวลา แต่มันก็เป็นหลักประกันแห่งความสงบที่แท้จริง แต่เราต้องอดทน ยอมรอคอยเวลา
เหตุการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนอย่างไรเกี่ยวกับสันติวิธี
มันชี้ให้เห็นว่าพลังสันติวิธีในเมืองไทยยังอ่อน นักสันติวิธีก็ยังมีไม่มาก บางทีก็เหมือนหยดน้ำเล็ก ๆ สู้ไฟไม่ได้ ถ้าเราอยากให้บ้านเมืองมีสันติติภาพ ก็ต้องช่วยกันทำงานด้านนี้มากขึ้น
ได้ทราบว่าเครือข่ายสันติวิธีส่งอาสาสมัครสันติวิธีไปอยู่ในผู้ชุมนุม อยากทราบว่าได้ค้นพบอะไรบ้าง
สิ่งที่พวกเราค้นพบก็คือ ทั้ง ๒ ฝ่าย คือทหารตำรวจและผู้ชุมนุม เขาก็มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เขามีความกลัวมีความรัก คิดถึงบ้านเหมือนกัน เมื่อวานทหารหลายคนโทรศัพท์ถึงคนรัก ที่บ้านคงเห็นห่วงเป็นใยกัน ขณะเดียวกันเสื้อแดงหลายคนก็มีความหวั่นวิตก หลายคนคิดถึงแม่คิดถึงลูก ก็พยายามออกมาปกป้อง พยายามมาเป็นเพื่อน ทุกฝ่ายต่างมีคนรัก มีคนห่วงใย มีความรัก มีความกลัว ไม่แตกต่างกันเลย สิ่งที่สันติอาสา ฯ พบก็คือเบื้องหลังของเสื้อทุกสีก็คือความเป็นมนุษย์ที่เรามีเหมือนกันหมด แต่ความเป็นมนุษย์นั้นถูกปิดกั้นเพราะอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน อุดมการณ์ต่าง ๆ ปิดกั้นใจของเราทุกคนไม่ให้เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ทำให้ทำร้ายกัน แต่ตอนนี้พอควันเริ่มสงบ ก็จะพบว่าคนที่ตายไม่ว่าสีไหนก็เหมือนกันหมดคือ เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน สูญเสียคนรัก นี้คือสิ่งที่สันติ ฯได้พบ โดยเฉพาะเมื่อวาน ทำให้เกิดคำถามว่า คนที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมถึงเป็นศัตรูกัน ก็เพราะเราไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน เราต่างติดฉลากให้แก่กันและกัน พยายามโจมตีซึ่งกันและกันว่าเลวว่าไม่ดี สิ่งเหล่านี้ปิดกั้นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน ทำให้ทำร้ายกัน
อาตมาคิดว่าเราต้องมองให้พ้นสีหรืออุดมการณ์ เพื่อเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกันให้ได้ ทั้ง ๆที่เราพูดภาษาเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน ผิวสีเดียวกัน แต่เราไม่เห็นความเหมือนเหล่านี้ เห็นแต่ความต่างของเสื้อและความต่างทางอุดมการณ์ แล้วเราก็ทำร้ายกันเพราะเหตุนี้ อาตมาคิดว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่จำเป็นต้องจบลงกันด้วยการทำร้ายกันหรือเห็นซึ่งกันและกันเป็นตัวเลวร้าย แต่ว่าเราควรเห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน นี้คือสิ่งที่สันติอาสา ฯ พยายามเสนอต่อผู้คนคือเตือนว่า หยุดก่อน อย่าทำร้ายกัน เขาเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา สีเหลืองกับสีแดงก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทหารกับนปช.ก็เป็นพี่น้องของเรานะ แต่ว่าคนเรามักไม่ยอมมองเห็นความจริงข้อนี้ ติดแค่สี แค่เสื้อที่ใส่เท่านั้น
อาตมาอยากเรียกร้องวิงวอนให้ผู้คนมองทะลุสีเสื้อ ให้เห็นความเป็นมนุษย์ของกันและกัน สันติอาสา ฯ มีคนไม่มาก แล้วทำงานมาเกือบเดือนแล้ว จึงล้า อาจไม่มีความสามารถที่จะนำความเป็นมนุษย์กลับคืนสู่ผู้คนได้มากมาย
เมื่อวานนี้เราพูดถึงการขอคืนพื้นที่ การแย่งชิงพื้นที่ แต่อาตมาคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กันและกัน ที่เราพยายามทำมาตลอดเชิญชวนให้พวกเราคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กันและกัน แก่คนทุกสี สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้างก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัย
แต่อยากย้ำว่าสิ่งสำคัญตอนนี้ไม่ใช่ขอคืนพื้นที่ แต่เป็นการคืนความเป็นมนุษย์ให้แก่กันและกัน คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนสีเหลือ คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่คนเสื้อแดง คืนความเป็นมนุษย์ให้แก่ทหารตำรวจ แล้วเราถึงจะอยู่ด้วยกันได้ย่างสันติ
อยากขอให้ท่านฝากเป็นประเด็นสุดท้าย
ยังไม่สายที่เราจะมาตั้งหลักกันใหม่ ความสูญเสียเมื่อวานนี้แม้จะมาก แต่ก็ยังมีโอกาสสูญเสียมากกว่านี้อีก แต่หากเราตั้งสติ เก็บเกี่ยวบทเรียน ทบทวนตัวเอง อย่าไปเพ่งโทษผู้อื่นหรือคิดแต่จะแกแค้น เราก็จะมีทางหันหน้าเข้าหากัน และทิ้งความสูญเสียไว้เบื้องหลัง หรือไม่มีความสูญเสียมากไปกว่านี้ อาตมาคิดว่าวันนี้คือจุดเริ่มต้นที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป วันนี้เป็นเวลาที่ไม่นานเลย
หมายเหตุ:ปรับปรุงจากการสัมภาษณ์ของพระไพศาล วิสาโล ณ สถานีวิทยุ ๑๐๑ MHz เช้าวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓
**********ประวัติพระไพศาล วิสาโล
เดิมชื่อ ไพศาล วงศ์วรวิสิทธิ์ เป็นชาวกรุงเทพฯ เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๐ สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ แผนกศิลปะ จากโรงเรียนอัสสัมชัญ และสำเร็จการศึกษาขั้นอุดมศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ ระหว่างเรียนที่ธรรมศาสตร์ เคยเป็นสาราณียกรปาจารยสาร (๒๕๑๘-๒๕๑๙) และเป็นเจ้าหน้าที่กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ (จนถึงปีพ.ศ. ๒๕๒๖) โดยมีบทบาทร่วมในแนวทางอหิงสาต่อเหตุการณ์ ๖ตุลาคม ๒๕๑๙ จนเป็นเหตุให้ถูกล้อมปราบภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา ๓ วัน
ต่อมา ในปี ๒๕๒๖ อุปสมบท ณ วัดทองนพคุณ กรุงเทพมหานคร เรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ วัดสนามใน ก่อนไปจำพรรษาแรก ณ วัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ โดยศึกษาธรรมกับหลวงพ่อคำเขียน สุวณฺโณจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต แต่ส่วนใหญ่พำนักอยู่ที่วัดป่ามหาวัน อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยจำพรรษาสลับระหว่างวัดป่าสุคะโต กับวัดป่ามหาวัน
นอกจากการจัดอบรมปฏิบัติธรรมและการพัฒนาจริยธรรมแล้ว พระไพศาลยังเป็นประธานเครือข่ายพุทธิกา กรรมการมูลนิธิโกมลคีมทอง กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย กรรมการมูลนิธิสันติวิถี กรรมการสถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น และกรรมการสภาสถาบันอาศรมศิลป์
ทุกวันนี้ พระไพศาลยังเขียนหนังสือและบทความอยู่เป็นประจำ ผลงานที่ผ่านมา ได้แก่ งานเขียนและงานบรรยายจำนวน ๑๐๒ เล่ม งานเขียนร่วม ๒๐เล่ม งานแปลและงานแปลร่วม ๙ เล่ม งานบรรณาธิกรณ์และบรรณาธิกรณ์ร่วม ๗ เล่ม
ผลงานล่าสุดคือ สุขแท้ด้วยปัญญา (ชมรมกัลยาณธรรม) ซึ่งรวบรวมบทความที่เขียนในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา
ที่มา:เวบพระไพศาล วิสาโล