WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, July 21, 2010

เปิดวิจัยร้อน ชำแหละ ใครคือเสื้อแดงและความคับข้องใจ ?เฮ็ดหยังก็ผิด...เรามันคนไร้เส้น

ที่มา มติชน

ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย หัวหน้าทีมวิจัย"จุดเปลี่ยนชนบทไทย"

ผศ.ดร. อภิชาติ สถิตนิรามัย

จุดเปลี่ยนชนบทไทย เป็นงานวิจัยชิ้นล่าสุดของ ผศ.ดร. อภิชาติ สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์และ อาจารย์ยุติ มุกดาวิจิตร และทีมงานวิจัยชุดใหญ่ที่มาจากจุฬาฯและธรรมศาสตร์ งานวิจัยเฟสแรกเผยแพร่ครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ "มติชนออนไลน์" ขอนำมาเสนอ ดังนี้

จากการประมวลผลการตอบแบบสอบถาม 99 ชุดที่ได้สุ่มจากหมู่บ้านคลองโยง (73 ชุด) และพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย (26 ชุด) พบว่า ในแง่ของเศรษฐกิจสังคมเราพบว่าคนเสื้อแดงที่ตอบแบบสอบถามนั้นมีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพทางการเกษตร และรับจ้างนอกระบบมากกว่าคนเสื้อเหลือง

จากการวิจัย จะเห็นได้ว่า 53% ของคนเสื้อแดงเป็นเกษตรกรในขณะที่เพียง 35% ของคนเสื้อเหลืองเป็นเกษตรกร และจะเห็นได้ว่า 9% ของคนเสื้อแดงประกอบอาชีพรับจ้างนอกระบบ ในขณะที่เพียง 4% และ 2% ของคนเสื้อเหลือง และคนที่เป็นกลางนั้นประกอบอาชีพรับจ้างนอกระบบ ในทางกลับกันเราพบว่า 35% ของคนเสื้อเหลืองนั้นมีอาชีพเป็นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ ซึ่งสัดส่วนนี้สูงกว่าในกรณีของคนเสื้อแดง (22%) และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด (15%)

นอกจากนี้แล้วเรายังพบว่าคนเสื้อเหลืองมีอาชีพค้าขายเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ โดย 27% ของคนเสื้อเหลืองประกอบอาชีพค้าขาย ในขณะที่เพียง 6% และ 7% ของคนเสื้อแดงและคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดนั้นประกอบอาชีพค้าขายตามลำดับ

ในแง่ระดับการศึกษา เป็นที่ชัดเจนว่าคนเสื้อเหลืองจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือสูงกว่า (38.46%) มากกว่าคนเสื้อแดง (18.73%) นอกจากจะมีการศึกษาสูงกว่าแล้ว คนเสื้อเหลืองยังมีระดับรายได้สูงกว่าทั้งคนเสื้อแดง และผู้ไม่สนับสนุนฝ่ายใดค่อนข้างมาก โดยเสื้อเหลืองมีรายได้ 31,427 บาทต่อเดือน

ในขณะที่เสื้อแดงและผู้เป็นกลางมีรายได้ 17,034 และ 11,955 บาทต่อเดือน ตามลำดับ ทั้งที่คนสองกลุ่มหลังนี้ก็มิใช่กลุ่มชนที่จนที่สุดของสังคมไทย
ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และนโยบายประชานิยมกับสาเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง

@ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ


จากผลสำรวจพบว่าคนเสื้อแดงมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนน้อยกว่าคนเสื้อเหลือง แต่มากกว่าคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด คือประมาณคนละ 17,034 บาท ในขณะที่คนเสื้อเหลืองนั้นมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 31,427 บาท และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 11,955 บาท

ดังนั้นคนเสื้อแดงที่ตอบแบบสอบถามของเรา ถึงแม้ว่าจะจนกว่าเสื้อเหลืองแต่ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มที่จนที่สุด เอาเข้าจริงแล้วด้วยระดับรายได้ 17,034 บาทต่อเดือนนั้น เราอาจจัดได้ว่าคนเสื้อแดงคือ "ชนชั้นกลางระดับล่าง" ไม่ใช่คนจน ดังนั้น ความยากจนในเชิงภาวะวิสัยของคนเสื้อแดงจึงไม่น่าจะใช่สาเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

แต่ถึงแม้กระนั้น เมื่อเราถามผู้ตอบแบบสอบถามให้ประเมินฐานะของตัวเอง เราพบว่าทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงมีแนวโน้มที่จะคิดว่าตนเองมีฐานะแย่กว่าคนส่วนใหญ่ มากกว่าคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดเลย โดย 18.75% และ 23.08% ของคนเสื้อแดงและเสื้อเหลืองนั้นคิดว่าตนเองมีรายได้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ ในขณะที่เพียง 14.63% ของคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดนั้นคิดว่าตนเองมีรายได้น้อยกว่าคนส่วนใหญ่ ในทางกลับกันคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดได้ประเมินว่าตนเองมีฐานะปานกลางเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดคือ 78.05% ส่วนคนเสื้อแดงจำนวน 50% และคนเสื้อเหลืองจำนวน 61.54% คิดว่าตนเองมีฐานะปานกลาง

เมื่อประเมินที่ทัศนะคติเกี่ยวกันความเหลื่อมล้ำทางรายได้แล้ว เรากลับพบว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองนั้นรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนนั้นนั้นห่างกันจนรับไม่ได้มากกว่ากลุ่มอื่นๆ จากการวิจัย เราพบว่า 42.31% ของคนเสื้อเหลืองคิดว่าช่องว่าระหว่างคนรวยกับคนจนห่างมากจนรับไม่ได้ ในขณะที่เพียง 25% ของคนเสื้อแดง และ 12.2% ของคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดมีความคิดเช่นนี้ เราอาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งคือคนเสื้อแดงจำนวน 75% และคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดจำนวน 87.8% คิดว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นไม่ห่างมากถึงยังพอรับได้ แต่คนเสื้อเหลืองจำนวน 57.7% เท่านั้นที่คิดเช่นนี้

ดังนั้นเราสามารถสรุปได้ว่าความคับข้องใจของคนเสื้อแดง (อย่างน้อยที่ได้ตอบแบบสอบถามนี้) ไม่ได้อยู่ที่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ เนื่องจาก 75% ของพวกเขายังคิดว่าช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้นยังพอรับได้ ในทางกลับกันเราพบว่าความคับข้องใจเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้นี้เกิดกับคนเสื้อเหลืองมากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ เสียอีก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สรุปได้ว่า ในแง่ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เชิงอัตวิสัย (perceived inequality) คนเสื้อเหลืองประเมินว่าตนเป็นคนจน และเห็นว่าช่องว่างทางรายได้ที่เป็นอยู่สูงจนรับไม่ได้มากกว่าคนเสื้อแดง

@ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจของคนเสื้อแดง

การสนทนากลุ่มย่อยที่อุบลราชธานีแสดงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยการอ้างถึงนักวิชาการบางท่านว่า เคยพูดว่า "คนอีสานเป็นได้แค่คนรับใช้กับเด็กปั๊ม" พร้อมกับระบายความอัดอั้นตันใจของตนออกมาว่า

- รู้สึกว่าตนถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะตนมีฐานะยากจน ความรู้น้อย
- รู้สึกว่าสังคมมีการแบ่งชนชั้น
- รู้สึกว่าไม่มีความยุติธรรมในสังคม เพราะ "เสื้อแดงทำอะไรก็ผิด" โดยยกตัวอย่างเรื่องการเดินทางเข้าไปร่วมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์กับกลุ่ม นปช ที่กรุงเทพฯ ว่า "ไปม็อบ นั่งพื้นก็ผิด" คนเสื้อแดง "เฮ็ดหยังก็ผิด" จนทำให้ตนรู้สึกคับแค้นใจ ยิ่งรู้สึกว่าตนต้องต่อสู้ ต้องเข้ามาร่วมในการประท้วงของคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย เพื่อ "ขอสิทธิเราคืน" (ด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่)
- สังคมมีปัญหาความไม่เท่าเทียม มีเรื่องเงินใต้โต๊ะ เรื่องเส้นสาย ลูกสาวสอบครูติดสำรองอันดับ 6 แต่ถูกอันดับ 10 แย่งไป "เรามันคนไร้เส้น ม็อบก็ม็อบไม่มีเส้น" (เสื้อแดงอุบลราชธานี)

ตรงกันข้ามคนเสื้อแดงนครปฐมไม่ได้แสดงความน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนใหญ่คิดว่าฐานะทางเศรษฐกิจของตนดีขึ้น สภาพทั่วไปและการดำเนินชีวิตในปัจจุบันก็ดีกว่าสมัยก่อนที่ไม่มีความเจริญทางเทคโนโลยีเช่นสมัยนี้

กล่าวคือ เมื่อก่อนนี้ไม่มีถนนเข้าออกหมู่บ้าน การเดินทางส่วนใหญ่จึงต้องเดินด้วยเท้า ทำให้มีความยากลำบากและเสียเวลามาก ไฟฟ้าและน้ำประปาก็ไม่มี เป็นต้น ลูก ๆ ของตนมีการศึกษาสูงกว่าตน สถานภาพทางสังคมจึงดีกว่า ทำให้มีโอกาสในชีวิตมากขึ้น นอกจากนี้คนกลุ่มนี้เห็นว่าการประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถ ความขยัน และความกระตือรือล้นของปัจเจกชนแต่ละคน

เช่นเดียวกับคนเสื้อแดงเชียงใหม่ ที่มิได้มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าเป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกดูถูกดูแคลนหรือถูกเหยียดหยาม และยอมรับว่ามีความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นกว่าอดีตทั้งในแง่รายได้ ความเจริญ และความสะดวกสบาย แต่ก็มิได้แสดงความมั่นใจกับภาวะอนาคตมากเท่าแดงนครปฐม

กล่าวคือ เมื่อเราถามว่าให้ประเมินไปข้างหน้า 10-20 ต่อสภาพความเป็นอยู่ของตนและลูกหลานว่าจะเป็นอย่างไร แดงนครปฐมทุกคนกล่าวอย่างมั่นใจว่า อนาคตจะต้องดีขึ้นแน่ ตรงข้ามกับแดงเชียงใหม่ ซึ่งตอบคำถามนี้ด้วยความไม่แน่ใจ และไม่มีความเชื่อมั่นในอนาคตของตนเอง ในแง่นี้เราอาจเข้าใจความแตกต่างระหว่างเสื้อแดงทั้งสามจังหวัดได้ว่าเป็นไปตามความแตกต่างของสภาพพื้นฐานเศรษฐกิจของแต่ละภาค จากการสังเกตของเรา เห็นได้ชัดเจนว่าฐานะทางเศรษฐกิจของแดงนครปฐมสูงกว่าแดงอุบลฯ โดยมีแดงเชียงใหม่อยู่ตรงกลาง

@นโยบายประชานิยม

เราพบว่าคนเสื้อแดงได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการต่าง ๆ ของทักษิณมากกว่าคนเสื้อเหลืองและกลุ่มที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่ 81% าของคนเสื้อแดงกล่าวว่าได้รับประโยชน์ ในขณะที่เพียง 54% ของคนเสื้อเหลืองเท่านั้นได้รับประโยชน์โดยตรงจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งข้อมูลนี้มีนัยยะว่าคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานในระบบที่อำนวยสวัสดิการทางการประกันสุขภาพและอนามัย หรือไม่มีรายได้พอที่จะจ่ายค่าประกันสุขภาพได้ ซึ่งสอดคล้องกับอาชีพที่เราพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในภาคการเกษตรและภาคแรงงานนอกระบบ

นอกจากนี้ เรายังพบว่าคนเสื้อแดงยังได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการ OTOP (One Tambol One Product : หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์), กองทุนหมู่บ้าน, ธนาคารประชาชน, การพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เกษตรกร และโครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ มากกว่าคนเสื้อเหลืองและกลุ่มที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใด

ข้อมูลจากการสนทนากลุ่มสอดคล้องกับภาพที่ได้จากการสำรวจข้างต้น นโยบายประชานิยมหลายโครงการเป็นประโยชน์โดยตรงกับคนเสื้อแดง ตัวอย่างเช่น กองทุนหมู่บ้าน ทำให้เขามีแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำที่ทุกคนมีสิทธิกู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งในด้านการเพาะปลูกหรือการผลิตด้านอื่น ๆ

เช่น คนเสื้อแดงอุบลราชธานีผู้หนึ่งกู้เงินกองทุนฯ มา 10,000 บาท เพื่อซื้อลูกเป็ด 100 ตัวมาเลี้ยงไว้ 3 เดือนแล้วขาย ได้กำไรประมาณ 3,000-3,500 บาท อีกคนหนึ่งกู้เงินมาขุดบ่อน้ำบาดาลเพื่อสูบน้ำมารดต้นไม้ที่ปลูกไว้ขาย โดยพูดจากความรู้สึกว่า "พอได้เงินมารู้สึกว่าได้ผุดได้เกิด เมื่อก่อนกู้มาเฟีย ดอกเบี้ยร้อยละ 20 ต่อเดือน ถ้าเป็นกู้แบบรายวันคิด (ดอกเบี้ย) ร้อยละ 2 บาทต่อวัน (ตัวเองต้องกลาย) เป็นหนี้รายวัน คนที่ให้กู้ก็เป็นคนกันเองในตลาด มีหลายเจ้า... พอกู้จากกองทุนหมู่บ้าน ดอกเบี้ย (เพียงร้อยละ) 6 บาทต่อปี"

ในขณะที่ชาวนาคนเสื้อแดงนครปฐมได้ประโยชน์จากโครงการจำนำข้าว ซึ่งในช่วงที่ราคาข้าวสูง ชาวบ้านอาจจำนำได้สูงถึงเกวียนละ 12,000 บาท ในขณะที่การประกันราคาข้าวของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ราคาข้าวตกลงเหลือราว 7,000-8,000 บาทต่อเกวียน ส่วนโครงการสุขภาพถ้วนหน้า "สามสิบบาทรักษาทุกโรค" ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวบ้านผู้มีรายได้ต่ำ นั้นทำให้เขารู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตสูงขึ้นมาก เสื้อแดงเชียงใหม่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีอาชีพเป็นลูกจ้างร้านขายข้าวมันไก่ชื่อดังแห่งหนึ่งกล่าวว่า "พี่ชายเป็นโรคไต ต้องฟอกอาทิตย์ละครั้ง หากไม่มี 30 บาท เรามันเป็นคนจน คงไม่มีปัญญารักษา ตอนนี้ก็คงจะตายไปแล้ว"

นอกจากนี้แดงเชียงใหม่ยังยกตัวอย่างโครงการเงินทุนการศึกษาที่ให้แก่คนจน (หนึ่งอำเภอหนึ่งทุน หรือโครงการโรงเรียนในฝัน) โดยนำมาจากรายได้ที่ได้จากหวยบนดิน รวมทั้งข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยก็กล่าวว่า ตนได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นและเบิกค่าเล่าเรียนบุตรได้จนถึงระดับปริญญาตรี

ดังนั้น โครงการ "ประชานิยม" ในความหมายกว้างทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์โดยตรงกับคนเสื้อแดงที่ผู้วิจัยพูดคุยด้วย เสื้อแดงคนหนึ่ง (นครปฐม) จึงสรุปประเด็นนี้ว่า "นโยบายของทักษิณนั้นกินได้) ส่วนอีกคนพูดว่า นี่คือ "ประชาธิปไตยแบบเป็นรูปธรรม จับต้องได้"

นอกจากโครงการประชานิยมแล้ว คนเสื้อแดงยังนิยมชมชอบอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเหตุผลที่ว่าในสมัยที่เป็นรัฐบาล เขาทำให้เศรษบกิจของประเทศดี เกิดสภาพคล่อง ประชาชนโดยทั่วไปทำมาหากินได้ มีตลาดเกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ตนสามารถนำผลผลิตของตนมาขายได้ ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของตนดีขึ้น ซึ่งส่งผลไปถึงลูก ๆ ของตน ดังคำพูดของคนเสื้อแดงนครปฐมผู้หนึ่งว่า "ทักษิณช่วยให้มีเงินส่งลูกเรียน" หรือมีการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งเดิม "เป็นเมืองปิด" ไม่ค่อยมีคนเดินทางเข้าไป แล้วทักษิณ "ดึงการท่องเที่ยว" เข้าสู่จังหวัดนี้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาเที่ยวและจับจ่ายซื้อสินค้า ทำให้ชาวบ้านทั่วไปมีรายได้และ "บ้านเมืองเจริญขึ้น" ทำให้ท้องถิ่น "มีหน้ามีตา"


นอกเหนือจากด้านเศรษฐกิจแล้ว คนเสื้อแดงยังชื่นชมอดีตนายกฯ ทักษิณอีกด้วยว่า ปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า ซึ่งช่วยลดปัญหายาเสพติด ทำให้ตนรู้สึกปลอดภัยขึ้น โดยเฉพาะต่อลูกหลานของตนที่เสี่ยงต่อการติดยา แต่หลังจากรัฐประหารปี 2549 ปัญหายาเสพติดก็กลับมาอีก ทำให้เกิดความวิตกกังวล (เชียงใหม่) รวมทั้งการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นหรือ "เจ้าพ่อ" ซึ่งส่งผลที่เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านหลายประการ

เช่น ชาวบ้านเสื้อแดงนครปฐมผู้หนึ่งกล่าวว่า ก่อนหน้าสมัยทักษิณ เมื่อตนนำดอกบัวที่ปลูกไปขายที่ปากคลองตลาด จะมี "มาเฟีย" มาคอยเก็บค่าตะกร้า ๆ ละ 10 บาท ตนต้องจ่ายเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับมาเฟีย แต่พอทักษิณขึ้นมาเป็นนายกฯ ก็สั่งปราบ จึงไม่มีมาเฟียมาเก็บค่าตะกร้าอีก ในปัจจุบันมีเทศกิจมาเรียกเก็บเงินเดือนละ 300 บาท ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าเป็นค่าอะไร แต่ก็จ่ายให้แก่เทศกิจเพราะเห็นว่าจำนวนไม่สูงและไม่อยากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่

ยิ่งไปกว่านั้น คนเสื้อแดงก็ชื่นชมอดีตนายกฯ ว่าเป็นผู้นี้มีความเห็นอกเห็นใจคนจน หลายคนกล่าวว่าทักษิณ "ยื่นความเป็นคนให้กับคนไทย" (เชียงใหม่) หรือ "มืองเห็นคนเป็นคน" (อุบลราชธานี) เพราะสามารถ "จัดการ" กับระบบราชการได้ ทำให้ข้าราชการ (เช่นที่อำเภอ) พูดจาไพเราะขึ้น "ให้เกียรติ" ชาวบ้าน และปฏิบัติงานรวดเร็วขึ้น (อุบลราชธานี) ให้บริการดีขึ้น เช่น โรงพยาบาลจัดให้มีระบบบัตรคิว ทำให้การแซงคิวและความสับสนลดน้อยลง (เชียงใหม่)

แล้วอะไรคือความคับข้องใจของคนเสื้อแดง ? จากผลการสำรวจเราพบว่าเหตุผลหลักในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของของคนเสื้อแดง 1) เพื่อต่อต้านการรัฐประหาร การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร (28.13%) 2) ปัญหาสองมาตรฐาน และความอยุติธรรม (28.13%) และ 3) การที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (18.75%) ส่วนเหตุผลเรื่องการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน จากนั้นไม่มีคนเสื้อแดงคนใดเลือกให้เป็นเหตุผลหลักของการต่อสู้ของพวกเขาเลย จากข้อมูลข้างต้นเราอาจสรุปได้ว่าสาเหตุของความคับข้องใจของคนเสื้อแดงคือ ความไม่เป็นธรรมทางการเมือง มากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

สรุป จากที่ได้อภิปรายมาทั้งหมดข้างต้น คณะวิจัยมีความเห็นดังนี้คือ หนึ่ง ความยากจนและความเหลื่อมล้ำเชิงภาวะวิสัย ไม่น่าจะเป็นสาเหตุความคับข้องใจของคนเสื้อแดง เนื่องจากคนเสื้อแดงไม่ใช่คนจนในแง่รายได้หรือสินทรัพย์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผู้เป็นกลาง แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อแดงจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาต่ำกว่าคนเสื้อเหลือง ตรงข้าม คนเสื้อเหลืองจำนวนมากกลับจัดตัวเองว่าเป็นคนจน เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ และเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนจน-คนรวยที่เป็นอยู่สูงมากจนรับไม่ได้ ซึ่งความรู้สึกนี้กลับมีน้อยกว่าในหมู่คนเสื้อแดง

สอง แม้ว่าความเหลื่อมล้ำและความยากจนเชิงภาวะวิสัยจะไม่ได้เป็นที่มาของความคับข้องใจของคนเสื้อแดง แต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกลับมีอยู่มากในหมู่คนเสื้อแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่แดงอีสาน เขารู้สึกเจ็บปวดจากการดูถูกดูแคลน จนฝังใจกับคำกล่าวของนักวิชาการมหาวิทยาลัยบางท่านที่ว่า "คนอีสานเป็นได้แค่คนรับใช้กับเด็กปั๊ม" นอกจากนี้ คนเสื้อแดงยังรู้สึกว่าสังคมไม่มีความยุติธรรม มีการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียม มีปัญหาการใช้เส้น-ใช้สายในหน้าที่การงาน และการรับบริการจากระบบราชการ รวมทั้งความไม่เท่าเทียมทางการเมือง (ปัญหาสองมาตรฐาน)

สาม เนื่องจากฐานะทางเศรษฐกิจของเสื้อแดงต่ำกว่าเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการประชานิยมมากกว่าคนเสื้อเหลือง ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือแรงงานนอกภาคเกษตร จะเป็นผู้อยู่นอกระบบประกันสังคมอย่างเป็นทางการทุกประเภท ในขณะที่เขามีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจสัมพันธ์กับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมหภาคอย่างแนบแน่น

ดังนั้นโครงการประชานิยม ซึ่งถูกออกแบบมาอย่างตั้งใจเพื่อเป็นหลักประกันทางสังคมให้แก่แรงงานนอกระบบเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรักษาพยาบาล 30 บาท และกองทุนหมู่บ้านจึงตอบสนองความต้องการของคนเหล่านี้ได้ดี ยิ่งเมื่อรัฐบาลทักษิณใช้มาตรการรุนแรง-เด็ดขาดใน "สงครามฆ่าตัดตอน ปราบปรามยาเสพติด 2,500 ศพ" รวมทั้งการจัดการกับ "มาเฟีย" ทั้งหลาย ซึ่งก็เป็นผลงานที่ "ชาวบ้าน" พอใจมาก ในแง่โครงการประชานิยมและการปราบปราม "นักเลง" และ "เจ้าพ่อ" ทั้งหลายจึงอาจตีความได้ว่า รัฐไทยในยุคทักษิณกระทำตัวเป็น "เจ้าพ่อใหญ่" โดยปราบปราม "เจ้าพ่อ" อื่นๆ พร้อมกับการสร้างพระคุณผ่านโครงการประชานิยมกับชาวบ้าน

กล่าวอีกแบบหนึ่งรัฐในยุคนี้ทำตัวเป็นผู้ "อุปถัมภ์" แทนผู้อุปถัมภ์รายเล็กรายใหญ่ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและชนบท เอาเข้าจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่รูปแบบใหม่ถอดถ้ามทางการเมืองเสียทีเดียว รูปแบบนี้มีมานานแล้วที่ "บรรหารบุรี" ความใหม่ของรัฐบาลทักษิณคือ การขยายความเป็๋นบรรหารบุรีให้กลายเป็นขอบข่ายทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอีสานและภาคเหนือ และทั้งหมดนี้คือที่มาของความนิยมทางการเมืองของชาวเสื้อแดงต่อทักษิณ พรรคไทยรักไทยและพรรคอนุพันธุ์ของไทยรักไทย

สี่ คณะวิจัยจึงเสนอว่า ความคับข้องใจของคนเสื้อแดงจึงเป็นความคับข้องใจในหลากหลายประเด็นทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ