ที่มา ประชาไท เพื่อนพ้องน้องนุ่งโทรมาบอกว่า ได้อ่านที่ผมเขียนวิพากษ์ “ลัทธิประเวศ” ทางฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ส่งต่อๆกันแล้วชอบอกชอบใจ จะเอาไปถ่ายทอดต่อ ฟังแล้วก็อดครึ้มไม่ได้ นี่ถ้าหลงตัวเองหน่อย คงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ว่าเมริงแน่เหมือนกันนิ ใบตองแห้ง แต่ความจริงแล้วเปล่าเลย ผมไม่คิดว่าผมเขียนได้ถูกต้องแหลมคมดีเด่จับใจอะไรปานนั้น ความจริงก็คือ ผมคิดว่าหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตทางการเมืองครั้งนี้ด้วยซ้ำ คนทำงานภาคประชาสังคมที่แท้จริง สื่อรุ่นใหม่ นักวิชาการรุ่นใหม่ ไม่ได้ศรัทธาเลื่อมใสอะไรนักหนากับหมอประเวศหรอก เพียงแต่ทุกคนเห็นว่าเป็นคนดี ก็ปล่อยให้พูดเรื่อยเปื่อยของแกไป ไม่มีใครอยากคัดค้าน จนหมอประเวศหลงผิด คิดว่ามีสานุศิษย์ล้นหลามทั่วประเทศ กระทั่งจะเอาความคิดของแกมาเป็นจริงเป็นจัง “ปฏิรูปประเทศไทย” จึงได้รู้ว่ามีคนคัดค้านกันอื้ออึง ยกตัวอย่างที่เขียนไปก่อนนี้ ผมตั้งข้อสังเกตว่าหมอประเวศพูดจาล่องลอย โดยทวนความจำที่ผมเคยสัมภาษณ์ ปรากฏว่าเขียนไปแล้วก็มีน้องที่ทำงาน NGO โทรมาบอกว่าเขารู้กันตั้งนานแล้วละลุง น้องอีกคน อดีต NGO ช่วยผมตั้งฉายาว่า “บิ๊กจิ๋วแห่งภาคประชาสังคม” (นอกจากพูดไม่รู้เรื่องเหมือนกันแล้วยังมีบางอย่างที่เหมือนกันคือ บิ๊กจิ๋วไม่เคยฟ้องสื่อ ปากก็พูดรักทุกคน แต่มีทหารพรานไปพังบ้านคึกฤทธิ์ หมอประเวศก็รักทุกคนเหมือนกัน แต่สานุศิษย์ลัทธิประเวศไปเย้วๆ ปลุกความเกลียดชังอยู่ในม็อบเสื้อเหลือง) ที่จริงน้องที่ทำงาน NGO ยังบอกว่าผมเขียนได้ไม่ถึงกึ๋นด้วยซ้ำ ผมก็บอกว่าผมไม่ใช่สาวกลัทธิประเวศนี่หว่า ขี้เกียจนั่งอ่านงานของแกแล้ววิพากษ์ คงต้องให้สานุศิษย์ที่เคยเป็นปลื้มแล้วมา “ตาสว่าง” ภายหลัง เป็นคนวิพากษ์จึงจะถึงกึ๋น สรุปได้ว่าที่ผมเขียนถึงลัทธิประเวศเนี่ยแค่ผิวๆ เท่านั้น เหมือนอย่างข้อมูลโยงใยในคณะกรรมการปฏิรูปก็เหมือนกัน ผมยกหูถามเพื่อนพ้องน้องนุ่งในวงการ NGO แค่ 2-3 ราย ก็ได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน โห เขาเป็นเครือข่ายกันขนาดนี้ นี่แค่ผิวๆ นะครับ แล้วยังผิดพลาดไปหน่อยด้วย ตรงคุณชัยวัฒน์ ถิระพันธ์ คนให้ข้อมูลคงจำผิด ที่จริงแกเป็นคนใต้ไม่ใช่คนเหนือ ก่อตั้งสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม (Civicnet Institute) ได้งบจาก สสส.มาจัดอบรม “ทฤษฎีกระบวนระบบ” หรือ System Thinking ของนักคิดเยอรมัน ประวัติที่เคยเล่าไว้ในสื่อคือไปเรียนเยอรมัน แต่ได้อ่านหนังสือสิทธารถะ และได้สนทนากับอาจารย์ปรีดี จึงทิ้งการศึกษาในมหาวิทยาลัยมาเลือกชีวิตที่มี “ความหมาย” หลังกลับเมืองไทยปี 2517 ก็มาทำงานจัดตั้งสหภาพแรงงาน ที่มีคนเล่าลึกกว่านั้นคือแนวคิดแกค่อนไปทางมาร์กซิสม์ยุโรป แล้วก็เคยทำงานให้บุญชู โรจนเสถียร (ซ้ายเก่าเหมือนกัน) ถูกผิดลองไปถามแกดู แต่ที่สำคัญคือ ปรากฏว่า Civicnet เนี่ยตั้งอยู่ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เก่า หัวถนนโบ๊เบ๊ ที่เดียวกับสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ของหมอพลเดช หรืออีกนัยหนึ่ง ศูนย์บัญชาการลับของลัทธิประเวศ (ฮา) นั่นเองแหละครับ ยิ่งไปกว่านี้ อ.ชัยวัฒน์ยังเป็นรองประธานสมาคมองค์กรสาธารณะประโยชน์เพื่อสังคมไทยเข้มแข็ง ที่มีหมอพลเดชเป็นประธาน กรรมการคนหนึ่งคือภุชงค์ กนิษฐชาต ที่ออกมาเคลื่อนไหวในนามเครือข่ายพลเมืองชุมชนคนกรุงเทพฯ แต่ถูกจับได้ว่าใส่เสื้อเหลืองอ๋อย นี่ถ้าทำข่าวสืบสวนแบบที่มติชนชอบตามสืบบริษัทผีฮั้วประมูล (ฮา) ก็ต้องไปแอบถ่ายภาพป้ายสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา คู่กับสถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม อ้าว! อยู่ตึกเดียวกันนี่หว่า เปล่า ผมไม่เถียงว่า อ.ชัยวัฒน์ไม่ใช่คนเก่งคนดีมีความสามารถ แต่อยากถามว่าแล้วแนวความคิดของสมัชชาปฏิรูป มันจะหลากหลายได้อย่างไรละครับ ในเมื่อพวกท่านมาจากข้องเดียวกัน เพื่อนพ้องทางเหนือ เล่าให้ฟังว่าเขาไปสืบๆ ดูแล้วว่าสมัชชาปฏิรูปจะชักชวนเครือข่ายไหนเข้าร่วมบ้าง ไม่ผิดจากที่คิด ก็เครือข่าย NGO ในสาย สสส.พอช.ของลัทธิประเวศ ซึ่งชาวบ้านเสื้อแดงเขาคันไม้คันมืออยาก “ใต้ดิน” ให้หัวแบะหลายทีแล้ว แต่มีคนห้ามไว้ สาเหตุไม่ใช่เพราะสีเสื้อหรอก แต่เขาหมั่นไส้ที่พวกนี้ชอบไปอบรมชาวบ้านให้รู้จักพอเพียง โดยได้ทุนสนับสนุนมาจาก “ภาษีบาป” ที่ไหนได้ตกเย็นก็นั่งกินเหล้ากินลาบกันควันโขมง อ้อ แต่อย่าไปกล่าวหาเลื่อนลอยแบบว่ากรรมการปฏิรูป กรรมการสมัชชา เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์นะครับ อย่างที่ใครเที่ยวไปกล่าวหา อ.ณรงค์ว่าถอยรถป้ายแดง เหลวไหล ผมไม่เชื่อ สิ่งที่เราต่อสู้คือแนวคิดและวิธีการ ซึ่งก็คือการบอกว่าที่พวกคุณเอาเงินภาษีจากควันบุหรี่ของผมมานั่งพูดๆๆๆๆ กัน หรืออ้างว่าไปสร้างเครือข่ายประชาสังคมน่ะ ส่วนใหญ่มันไร้สาระ และไม่สามารถวัดผลว่าทำอะไรได้แค่ไหน นี่มีข้อมูลใหม่อีกแล้ว แหล่งข่าวกระซิบว่าคุณปรีดา คงแป้น กรรมการสมัชชา ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ใช่แต่จะได้งบ สสส.ยังได้งบจากสำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯ ไปทำโครงการประเภท “สร้างเครือข่ายพลเมือง” ในภาคใต้อีก 9 ล้านกว่าบาท ย้ำนะครับ ผมไม่มีอคติที่จะจ้องจับผิดว่าทุจริตหรือหาผลประโยชน์ แต่ผมข้องใจเรื่องความคุ้มค่าของโครงการพวกนี้ ที่มักเอาชาวบ้านมาอบรม เอาวิทยากรมาพูดๆๆ หรือเอาเงินลงไปอุดหนุนเพื่อหลอกชาวบ้านว่าสามารถอยู่ได้ “โดยไม่พึ่งทุนนิยม” บอกแล้วว่าสมัยนี้ของบกันง่ายซะด้วย ถ้าคุณอยู่ในจังหวัด ในอำเภอ รวบรวมกัน 10-20 คนตั้งกลุ่มอนุรักษ์โน่นนี่ ก็ของบได้แล้ว น้องบางคนทำงานภาคประชาสังคม เจอกับตัวเอง กลับไปบ้านเกิด แล้วมาเล่าให้ผมฟังว่า เฮ้ยพี่ ผมเพิ่งรู้นะนี่ว่าที่บ้านผมมีกลุ่มอนุรักษ์ แม่-ไม่เห็นทำหง่าอะไรเลย! (ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตั้งโต๊ะสนุ้ก) ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ อยากเรียกร้องว่า องค์กรทั้งหลายที่รับทุนจาก สสส.พอช.หรือหน่วยงานใดของรัฐ ช่วยเปิดเผยขึ้นเว็บไซต์ได้ไหมว่าปีหนึ่งคุณได้เงินจากใครมาเท่าไหร่ ทำโครงการอะไรบ้าง ซ้ำซ้อนกันหรือเปล่า เช่นโครงการเดียวของบ 2 แหล่ง แล้วคุณใช้อะไรไปบ้าง จ่ายเบี้ยเลี้ยงจ่ายค่าเดินทางเอาชาวบ้านมาสัมมนา จ่ายเงินเดือนบุคลากร ค่าวิทยากร ค่าเบี้ยประชุม ค่าน้ำมันรถ ค่าเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ซ้ำซ้อนกันในผู้บริหารคนเดียวหรือเปล่า หรือบางคนอยู่หลายองค์กร รับค่าที่ปรึกษาค่าวิทยากรค่าเดินทางซ้ำซ้อนกันไปทั่วหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะครับ ท่านที่มาเป็นกรรมการปฏิรูปหรือกรรมการสมัชชา ช่วยบอกสาธารณชนหน่อยว่ามีความผูกพันทางการเงินอย่างไรกับ สสส.พอช.ซึ่งจะทำให้ขว้างงูไม่พ้นคอไม่มีทางมีความเห็นต่างกับลัทธิประเวศ ในความสงบ 2 เดือนหลังปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” นอกจากข่าวฟุตบอลโลกและปลาหมึกพอล (เสียดายบอลโลกครั้งหน้ามันจะตายก่อน ต้องจับปลาหมอมาร์คเข้ากรงให้เลือกกินหอยแทน เลือกกล่องไหนทีมนั้นแพ้) ถามว่าเราเห็นอะไรบนหน้าสื่อ วันก่อนผมเปิดเว็บผู้จัดการ อ่านสนธิพูดเรื่องปราสาทพระวิหาร แล้วดูท้ายข่าวว่าช่วงที่ผ่านมาสนธิพูดเรื่องอะไรบ้าง อ้อ ศาสดาพันธมิตรยังเป็นผู้สันทัดเพลงจีนด้วย นี่ถ้าสนธิชอบดูบอล ตอนบอลโลก รายการเมืองไทยรายสัปดาห์คงวิเคราะห์บอลกันสนุก ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นสิทธิของคุณสนธิที่จะพูดเรื่องอะไรก็ได้ แต่ผมยกมาเป็นตัวอย่างการทำหน้าที่ของสื่อกระแสหลัก ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ว่าสื่อทำหน้าที่ตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล “ลัทธิมาร์ค-เนวิน” (คำของผู้จัดการเองนั่นแหละ) น้อยไปจนถึงน้อยมาก เลยต้องตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์น้ำอัดลม น้ำมันพืช กะเตาไมโครเวฟแทน หวังว่าคงบรรจุไว้ในนโยบายพรรคการเมืองใหม่ตอนหาเสียง สก.เพื่อไม่ต้องวิจารณ์ประชาธิปัตย์ การทำหน้าที่ของสื่อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แยกแยะได้คร่าวๆ 3 ส่วน คือ พวกหนึ่งก็อุทิศวิญญาณหนังสือพิมพ์ให้กับการไล่ล่า “โจรแดง” มีธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นพระเอกรายวัน มี พรก.ฉุกเฉินเป็นอุดมการณ์สูงสุด พวกที่สองคือพวกที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีคนตาย 90 ศพ ชวนชาวบ้านดูหนังดูละคร เล่นหุ้น ลงทุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และช็อปช่วยชาติ พวกที่สามที่ยังมีเหลืออยู่น้อยนิดก็เช่นมติชน ที่ยังพยายามติดตามตรวจสอบ อย่างเช่นฝูงบินกริพเพน ยุค รศ.112 ซึ่งเอาหัวแม่เท้าตรองดูก็รู้ว่าซื้อถูกหรือแพงเกินจริง สถานการณ์นี้ต่างจากปีที่แล้ว หลังสงกรานต์ปราบม็อบเสื้อแดง ชะรอยสื่อคงได้สำนึกว่าการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลเช่น โครงการรถเมล์ 4,000 คัน นอกจากจะสาวไส้ให้กากิน เป็นประโยชน์กับทักษิณและ “โจรแดง” แล้ว ยังทำให้หน้าแหกอีกต่างหาก เพราะที่ลั่นปากไว้ว่าถ้ารัฐบาลอนุมัติโครงการนี้ก็จะอยู่ไม่รอด ที่ไหนได้ สื่อกลับต้องมาอุ้มรัฐบาลเสียเอง ใครพูดไว้พ่อแม่พี่น้องคงจำได้ ฮิฮิ แล้วตอนนี้เขาครบวงจรกันตั้งแต่รถไฟฟ้าลงมาถึงถนนไร้ฝุ่น ไม่เห็นสื่อมีปากสักแอะ โฉนดเขาแพง ประมูลสร้างโรงพัก ฯลฯ อะไรที่พรรคเพื่อไทยยกมาตรวจสอบรัฐบาล นอกจากสื่อไม่ตามแล้วยังช่วยแก้ต่างอีกต่างหาก พาดหัวข่าวมีอยู่แค่เนียะ อ้อ-อ้าย หรั่ง หรือไม่ก็อมน้ำลายเทพไทมาละเลงในหน้าหนังสือพิมพ์ตัวเอง ฝึกอาวุธ 3 จุด วินาศกรรม 68 จุด ฯลฯ สื่อมีหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจ ผู้ใช้อำนาจ แต่ตอนนี้สื่อกลับมาตรวจสอบ-ไม่ใช่สิ ใช้คำนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องบอกว่าจองล้างฝ่ายที่จะโค่นอำนาจ เพราะตัวเองมีส่วนร่วมในอำนาจนั้น อภิสิทธิ์ถึงได้เดินสายไปพบสื่อ เวียนไหว้ทุกสำนัก แต่ไม่เคยเดินสายพบประชาชน เพราะสื่อสำคัญกว่าประชาชน สังเวชก็แต่มวลชนพันธมิตรประเภทที่ถูกปลุกให้เชื่อว่าไล่ทักษิณแล้วบ้านเมืองจะใสสะอาด ปราศจากคอรัปชั่น ไหนว่าเป็นพลังของคนชั้นกลางที่จะมาล้างคอรัปชั่น ไมโครเวฟจงพินาศ! (น้ำอัดลมออกไป) สิทธิมนุษยชนมีให้ “โจรใต้” เหตุการณ์พฤษภาอำมหิต นอกจากมีคนตาย 90 คน มากที่สุด มากกว่าทุกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทย 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ยังมีการกวาดจับประชาชนไปจับกุมคุมขัง 400 กว่าคน มากที่สุดนับแต่รัฐบาลหอยใช้ข้อหาภัยสังคมกวาดจับหลัง 6 ตุลา มิหนำซ้ำยังมีการควบคุมตัวบุคคลไปกักขัง ละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา ตั้งแต่อาจารย์ยิ้ม, สมยศ พฤกษาเกษมสุข มาจน บก.ลายจุด นี่คือการละเมิดสิทธมนุษยชนที่ร้ายแรงที่สุดนับแต่หลัง 6 ตุลา ถ้าไม่นับเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ แต่ถามว่าสื่อและนักสิทธิมนุษยชนทำอะไรบ้าง เปล่าเลยครับ แล้วก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่กลับยุยงเหยียบย่ำซ้ำเติม ผมเองก็ไม่ได้เป็นปลื้มชื่นชมบทบาทของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ซึ่งผมเห็นว่าไม่ได้ทำหน้าที่สมกับเป็นกรรมการสิทธิฯ ในช่วงพฤษภาอำมหิต และช่วงที่มีการกวาดจับคนเสื้อแดงใหม่ๆ แต่อย่างน้อย การที่หมอนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กล้าออกมาคัดค้านการต่ออายุ พรก.ฉุกเฉิน และส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมคนเสื้อแดงในเรือนจำทั่วประเทศ ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็ต้องปรบมือชมว่า หมอนิรันดร์ตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ที่สมควรจะทำแล้ว แม้จะยังทำไม่เต็มที่ และควรทำมากกว่านี้ โดยส่วนตัวผมยังเห็นว่าจุดยืนของหมอนิรันดร์ยังกึ๊กๆกั๊กๆ แต่อย่างน้อยแกก็ตระหนักว่าต้อง “ทำหน้าที่” แม้สวนทางกับทัศนะ (ที่รู้กันว่าออกไปทางเหลืองอื๋อ) แต่หน้าที่ต้องเป็นหน้าที่ สิทธิมนุษยชนไม่สามารถเลือกข้าง เราจึงต้องยกย่องหมอนิรันดร์ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนผู้มีชื่อเสียงทั้งหลายเงียบเป็นเป่าสาก แต่ผลปรากฏว่าการทำหน้าที่ของหมอนิรันดร์ กลับถูกคอลัมนิสต์ใหญ่โจมตีว่าเป็น “อีแร้ง” เกาะศพ พร้อมกับตั้งข้อหา “เอาใจโจร” ทำไมไม่พิทักษ์สิทธิ์ของคนกรุงเทพฯ หลายล้านคนบ้าง ให้ตายเถอะ คำพูดทำนองนี้ผมเคยได้ยินที่ไหน จากปากใครที่หน้าเหลี่ยมๆ เมื่อ 5-6 ปีก่อน ทำไมนักสิทธิมนุษยชนต้องเอาใจโจร ทำไมไม่พิทักษ์สิทธิของคนบริสุทธิ์ที่โดนโจรทำร้ายบ้าง ทำไมเราต้องคัดค้านการออก พรก.ฉุกเฉินในยุคทักษิณ เพราะมันละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือเพราะมันเป็นของทักษิณ ทำไมเราประณามกรณีกรือเซะ ตากใบ แต่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับพฤษภาอำมหิต อ้าว ก็นั่นมัน “โจร” ชัดๆ เด็กนักฟุตบอลทั้งทีมที่สะบ้าย้อยควงมีดสปาต้าบุกโรงพัก ถ้าคิดแบบนี้คุณก็ต้องปรบมือชมเชยพัลลภ ปิ่นมณี กับตำรวจ ที่กวาดซะให้เรียบ สิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องของการเลือกข้าง ผมเนี่ยไม่เคยชอบพวกมุสลิมเล้ย เพราะไม่ชอบพวกที่บังคับให้ผู้หญิงใส่ผ้าคลุมหน้า ไม่ชอบพวก fundamental ที่ตีความศาสนาแบบตายด้านจนละเมิดสิทธิเสรีภาพ (ไม่เหมือนพวกแกนนำพันธมิตรที่พากันไปดูงานตะวันออกกลาง) แต่การฆ่าคนไม่มีอาวุธ ฆ่าเด็กนักฟุตบอลที่มีแค่มีด โดยบ้างก็มีข้อสงสัยว่าถูกจ่อยิง (ถาวร เสนเนียม นั่นแหละสงสัย) หรือการใช้ พรก.ฉุกเฉินบุกเข้าไปตรวจค้นหมู่บ้าน สงสัยใครไม่มีหลักฐานก็เอาเขาไปกักตัวไว้ก่อน ครบกำหนด พรก.ฉุกเฉินก็ใช้กฎอัยการศึกต่อ มันคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขา ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับเขาหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร คิดถูกคิดผิด เขาก็มีสิทธิที่ต้องได้รับความคุ้มครอง การดำเนินคดีต้องมีหลักฐานเพียงพอ ตราบใดที่ศาลยังไม่พิพากษาก็ต้องถือว่าเขายังเป็นผู้บริสุทธิ์ รัฐธรรมนูญมาตรา 40(7) บัญญัติว่า ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว การที่กรรมการสิทธิเข้าไปตรวจสอบคนเสื้อแดง 400 กว่าคนที่ถูกจับกุมคุมขัง จึงเป็นการทำหน้าที่ตรวจสอบตามมาตรา 40(7) เพราะไม่ใช่ว่าคน 400 กว่าคนนี้ถูกตัดสินว่าผิดแล้ว กรรมการสิทธิต้องตรวจสอบว่าการใช้อำนาจภายใต้ พรก.ฉุกเฉินของตำรวจทหาร มีการจับกุมโดยมีพยานหลักฐานเพียงพอหรือเปล่า เหวี่ยงแหหรือเปล่า มีจุดประสงค์ทางการเมืองหรือเปล่า เลือกปฏิบัติหรือเปล่า เหมือนอย่างที่ครูหยุยออกมาโวยว่ามีการจับกุมคุมขังเยาวชนจำนวนมาก ทั้งที่ก่อนกระชับพื้นที่ ไปป่าวประกาศให้เอาเด็กออกมาจะพาเด็กกลับบ้าน แต่เสร็จแล้วกลับจับเด็กไปขัง (ต้องชมครูหยุยด้วยว่าที่ผ่านมาแม้เอียงกะเท่เร่แต่กล้าพูดเรื่องนี้) คนเสื้อแดงที่ถูกจับ 400 กว่าคนทั่วประเทศ เป็นคน “เผาบ้านเผาเมือง” จริงหรือเปล่า มีพยานหลักฐานชัดเจนหรือเปล่า ไม่เคยมีใครตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะสภาทนายความก็ทิ้งการทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ ถ้าไอ้ประชาชนคนนั้นมันใส่เสื้อแดง คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยที่ถูกจับเป็นคนยากคนจน ที่ผมได้ยินได้ฟังมาก็เช่นถูกออกหมายจับทั้งผัวเมีย ผัวหนี เมียติดคุก ทิ้งลูกเล็กๆ 3 คนไว้กับยาย แต่ไม่เป็นไร โห ก็ทักษิณกับเครือข่ายใช้เงินหมุนเวียนตั้ง 6 หมื่นล้าน ไอ้พวกที่มาม็อบอย่างน้อยมันก็คงได้ไปคนละล้าน ปล่อยให้มันติดคุกซะให้สม... อย่างนั้นใช่ไหม นี่คือประเด็นเดียวกันที่สภาทนาย สมาคมนักข่าว องค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ แห่ลงไปปกป้องสิทธิของ “โจรใต้” เรียกร้องให้มีการ “สมานฉันท์” “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” แต่ถ้าเปลี่ยนหน้ามาเป็นเสื้อแดง กลับกลายเป็นฆ่ามันๆๆ เอามันให้หนัก ปราบมันให้เหี้ยน โทษที คุณนึกถึงสิทธิของคนบริสุทธิ์ที่โดน “โจรใต้” มันฆ่ามันยิงบ้างหรือเปล่า ผมย้อนถามอย่างนี้เพราะผมคิดว่าถ้าสื่อและนักสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ เกิดเป็นคนไทยพุทธในยะลา ปัตตานี นราธิวาส ก็คงไม่ออกมาเรียกร้องให้ “สมานฉันท์” มีแต่จะเรียกร้องให้ “ฆ่ามันๆๆๆ” ผงไม่เข้าตาตัวเอง เข้าตาแล้วถึงรู้ว่าตัวเองไม่ได้แยแสสิทธิมนุษยชนอะไรนั่นซักเท่าไหร่หรอก สิทธิมนุษยชนจึงมีให้แต่ “โจรใต้” แต่ไม่มีให้ “โจรทักษิณ” หรือ “โจรแดง” ตลกร้ายน่าสังเวชคือเรามีนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนมากมาย เรียกร้องให้เอาผิดทักษิณกรณีฆ่าตัดตอนยาเสพย์ติด แต่เมินเฉยการกระชับพื้นที่ ที่มีสไนเปอร์ส่องหัวคนเสื้อแดง เรามีนักสิทธิมนุษยชนมากมาย ที่เรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวอองซานซูจี โจมตีเผด็จการทหารพม่าว่าเล่นเล่ห์ลวงโลก ลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแล้วสกัดกั้นฝ่ายค้านลงเลือกตั้ง ขณะที่ตัวเองไปลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญของ คมช.และปกป้องจะเป็นจะตาย เรามีนักสิทธิมนุษยชนมากมาย ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของคนชายขอบ อย่างเช่นบรรเจิด สิงคะเนติ ที่ต่อสู้เพื่อคืนสัญชาติไทยให้คนไทยพลัดถิ่น ชาวไทยภูเขา (ยกเว้นแม้ว-ฮิฮิ) แต่พวกเสื้อแดงบางคนบอกว่า อยากฝากบัตรประชาชนไทยคืนให้บรรเจิด มึงจะเอาไปให้ม้งเย้าอีก้อหรือคุณพ่อผีตองเหลืองที่ไหนก็ตามใจ นี่เพิ่งได้ข่าวว่าบรรเจิด, กิตติศักดิ์ ปรกติ เพิ่งเข้าไปเป็นอนุกรรมการสิทธิร่วมกับวีระ สมความคิด, สมชาย หอมลออ, บุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ขอให้จำเริญๆ องค์กรสิทธิมนุษยชนที่แสนจะเฟื่องฟูในบ้านเรา (ได้เงินสนับสนุนอู้ฟู่) จึงทำหน้าที่สำคัญสองประการ คือหนึ่ง สอดส่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนใน 3 จังหวัดภาคใต้ แล้วรายงานข้ามโลกไปให้ฝรั่ง กับสอง สอดส่องการละเมิดสิทธิประชาธิปไตยของเผด็จการทหารพม่า แล้วรายงานข้ามโลกไปให้ฝรั่ง ส่วนการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือประชาธิปไตยไทยกูไม่เกี่ยว แถมกูยังหนับหนุนด้วย สิทธิกับสื่อเกี่ยวข้องกันไหม เกี่ยวสิครับ ในทัศนะผม หน้าที่สำคัญข้อแรกของสื่อไม่ใช่การชี้ถูกชี้ผิด ปลุกระดมชาวบ้าน และยังไม่ใช่การตรวจสอบคอรัปชั่นหรือความไม่ชอบมาพากลด้วยซ้ำ นั่นอาจเป็นข้อสองข้อสาม แต่ข้อแรกที่สำคัญที่สุด-เหมือนรัฐธรรมนูญบทที่หนึ่งของสหรัฐอเมริกา คือการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น คุ้มครองสิทธิมนุษยชนของเสียงข้างน้อย เพราะหลักการสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยคู่กับการยอมรับเสียงข้างมาก ก็คือคุ้มครองเสียงข้างน้อย ให้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น เพื่อกลับมาเป็นเสียงข้างมากถ้าเหตุผลดีพอ นี่คือบทบาทหน้าที่โดยตรงของสื่อและนักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่การปกปักคุณธรรมจริยธรรมความถูกต้องดีงามในทัศนะของคุณ เพราะคุณไม่ใข่ศาสดา สื่อและนักสิทธิมนุษยชนเคยต่อสู้กับการแทรกแซงของทักษิณ เมื่อครั้งที่ตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย แต่พอตัวเองพลอยพยักกับเสียงข้างมาก ก็กลับกลายเป็นอิเหนา เน่าไปหมดทั้งยวง อันที่จริง สื่อและนักสิทธิมนุษยชนน่ะตายมานานแล้วครับ แต่ 2 เดือนที่ผ่านมา คือการส่งกลิ่นเน่าเพราะว่ายังไม่ได้เข้าพิธีฌาปนกิจเท่านั้นเอง ใบตองแห้ง
..........................
คำต่อคำ "สนธิ" ยก "ไช่ฉิน" นักร้องเสียงสวรรค์ เทียบชั้น "เติ้ง ลี่จวิน"
คำต่อคำ "สนธิ"ย้ำฟ้องอัยการสั่งฟ้องคดีหมิ่นเบื้องสูง-จี้ล้มเอ็มโอยูเขมรยุค"ชวน-แม้ว" ป้อง 1.5 ล้านไร่
คำต่อคำ “สนธิ”เผยเกร็ดชีวิต “เติ้งลี่จวิน”-เตือนระวังภัยน้ำมันพืช
คำต่อคำ “สนธิ”ย้ำภัยไมโครเวฟ-จี้ “มาร์ค”หยุดรับโทรศัพท์ เร่งทวงคืนแผ่นดินเขมร
คำต่อคำ “สนธิ” เปรียบ 3 พี่น้องตระกูลซ่งกับ “เจ๊ดา-วิระยา-พจมาน” – เตือนภัยไมโครเวฟ-น้ำอัดลม
...........................
ผมอดหัวร่อไม่ได้ นอกจากปกป้องตัวเอง ปลุกคลั่งชาติ ตอนนี้ศาสดาพันธมิตรต้องลงไปรบกับเตาไมโครเวฟ น้ำอัดลม และน้ำมันพืชแล้ว
21 ก.ค.53