ที่มา บางกอกทูเดย์ ภูมิใจไทยผงาดยอดบริจาคนำโด่ง อย่างการที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักกิจการพรรคการเมือง สรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมือง ประจำเดือนพ.ค. 53 โดยพบว่า มียอดรวมทุกพรรค 10,312,182 บาท แค่ 10 กว่าล้านบาทต่อเดือน ปีหนึ่งก็แค่ 120 ล้านบาทต่อเดือน แถวๆนั้น... เป็นเม็ดเงินการเมือง หรือเศษเงินการเมือง น่าจะเป็นคำถามที่ควรรู้ให้เท่าทัน รวมทั้งควรดูในรายละเอียดด้วย ว่าในสถานะการเมืองเช่นปัจจุบัน ทิศทางของเงินไหลไปในทิศทางใด เพราะหากดูพรรคการเมืองที่ได้รับเงินบริจาคมากที่สุด กลับไม่ใช่พรรคใหญ่ที่ฟาดฟันกันสุดฤทธิ์อย่างพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย แต่กลับกลายเป็นพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีเงินบริจาคเข้ามามากที่สุด 3,659,000 บาท โดยในรายละเอียดก็คือ มี บจก.อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ หรือกลุ่มทุนบางกอกแลนด์ บริจาค 3,059,000 บาท นายเฉลิม ตันติวงศ์ และ น.พ.มารุต มัสยวาณิช กรรมการบริหารพรรค บริจาครายละ 3 แสนบาท สำหรับอันดับ 2 ซึ่งจริงๆ น่าจะเป็นอันดับหนึ่งในความรู้สึกของสังคม เพราะแม้จะไม่ใช่พรรคใหญ่ แต่เป็นพรรคที่ฮอตเหลือเกิน แถมนายใหญ่ของพรรค นายเนวิน ชิดชอบ ก็เปี่ยมบารมีมากมายในแวดวงการเมืองยุคปัจจุบัน การถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีของนายใหญ่เนวิน ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เป็นที่รับรู้กันทั้งประเทศว่า ถูกสั่งเว้นวรรคก็จริง แต่ก็ยังสามารถจะทำอะไรได้มากมายในทางปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้เอง ยอดบริจาคที่ไหลเข้ามายังพรรคภูมิใจไทย จึงมีเท่ากับ 2,490,000 บาท โดยที่มีผู้บริจาครวมทั้งสิ้น 26 ราย ซึ่งตามรายชื่อที่ปรากฏโดยเปิดเผย จะมีชื่อ นายชาญชัย สุรัชตชัยพงศ์ เป็นผู้ที่บริจาคมากที่สุดคือ 2 ล้านบาท ในขณะที่ส่วนใหญ่จะเป็นกรรมการบริหารและสมาชิกพรรค รายละ 2 หมื่นบาท โดยที่นายศุภชัย โพธิ์สุ รมช.เกษตรฯ บริจาคน้อยที่สุดแค่ 1 หมื่นบาท และสำหรับพรรคที่ครองอำนาจการเมืองอยู่ในมือ ปัจจุบันมีฐานะเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุด แต่กลับปรากฏว่า มียอดเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ 1,642,168 บาทเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้บริจาคก็เป็นกรรมการบริหารกับสมาชิกพรรค นักธุรกิจ กลุ่มธุรกิจทำไมไม่แทงม้าเต็งหามอย่างพรรคประชาธิปัตย์ เป็นปรากฏการณ์ที่น่าจับตามองอย่างมากที่สุด ส่วนพรรคเพื่อไทย แน่นอนว่าการถูกมองว่าเป็นช่วง “ขาลง” แถมยังถูกกระหน่ำรอบทิศ โดยเฉพาะจาก ศอฉ. และรัฐบาล จึงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่ ที่จะเหลือเงินบริจาคแค่ยอดประมาณ 1,058,530 บาทเท่านั้น ที่สำคัญ เหลือเป็นเนื้อเป็นหนังก็มาจาก นายพชร นริพทะพันธุ์ บุตรชายนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมช.คลัง บริจาคมากที่สุด 1 ล้านบาท และกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดก็เห็นจะเป็นพรรคกิจสังคม มียอดบริจาคเข้าพรรคเพียง 1 หมื่นบาท ซึ่งมาจากนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค ได้บริจาคให้พรรคเกือบทุกเดือนเพียงรายเดียว แต่หากมองภาพรวมช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ คือ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง เดือนพฤษภาคม 2553 ก็จะเห็นว่า มีทิศทางการแทงม้าเข้าวินในอนาคตมองไปที่นายเนวิน นั่นเอง เพราะยอดเงินบริจาคพรรคการเมือง ม.ค.-พ.ค. พรรคที่มียอดเงินบริจาคสูงสุด คือ พรรคภูมิ ใจไทย ได้มา 11,520,000 บาท อันดับ 2 รองลงมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค มีเงินไหลเข้าพรรค 8,949,038 บาท อันดับที่ 3 ก็คือ พรรคเพื่อไทย 5,770,477.82 บาท ตามมาด้วย พรรคเพื่อแผ่นดิน 4,259,000 บาท และไม่เลวทีเดียวสำหรับพรรคการเมืองใหม่ ได้เงินบริจาคเข้ามา 4,080,140.60 บาท อันดับถัดๆ มาจากนั้นก็คือ มาตุภูมิ 1,599,425 บาท รวมชาติพัฒนา 1,211,000 บาท ชาติไทยพัฒนา 2,000,000 บาท ประชาธรรม 200,000 บาท อาสามาตุภูมิ 150,000 บาท เพื่อฟ้าดิน 81,340 บาท กิจสังคม 50,000 บาท เสรีนิยม 8,888.88 บาท และ พรรคอนาคตไทย 7,200 บาท ส่วนพรรคที่ได้รับเงินบริจาคน้อยที่สุดคือ พรรคเงินเดือนประชาชน 1,500 บาท ตัวเลขเงินบริจาคที่เปิดเผย มีเม็ดเงินน้อยเช่นนี้แหละ ที่ทำให้เมื่อมีประเด็นในเรื่องการบริจาคเงินแบบแอบแฝงในรูปแบบต่างๆ จึงมักจะเป็นเรื่องที่ควรจะต้องมีการตรวจสอบ เพราะมักจะเป็นเม็ดเงินระดับเป็นร้อยๆ ล้านบาท อย่างเช่นกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น น่าเสียดายที่กรณีดังกล่าว กำลังจะกลายเป็นเรื่องที่ “เบาหวิว” ขึ้นมาดื้อๆ เมื่อเจอกับฝีมือการดำเนินการของ “ดีเอสไอ” ในยุคของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในห้วงจังหวะเวลาของการช่วงชิงอำนาจการเมือง โดยที่มี ศอฉ. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นไม้ค้ำยันสถานะภาพของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ไม่ว่าใครต่อใครจะบอกหรือจะเชื่อว่าหลักฐานชัดเจน พรรคประชาธิปัตย์ไม่รอดจากการถูกยุบแน่... แต่มาวันนี้ทฤษฎีต้องเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยยุบพรรคออกมา เพราะล่าสุด นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ในฐานะอธิบดี ดีเอสไอ ประกาศเปรี้ยงออกมาแล้ว หลังจากที่ได้มีการไปตั้งพนักงานสอบสวนชุดใหม่ขึ้นมาสอบสวนคดี บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในลักษณะของการไซฟ่อนเงิน 263 ล้านบาท อันเป็นเงินที่เข้าไปเกี่ยวโยงกับเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท โดยที่มีบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นตัวกลางที่เข้าไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยง แต่ดีเอสไอ ยุคนายธาริต ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องบริษัททีพีไอฯ แล้ว อ้างว่า ไม่พบการไซฟ่อนเงิน แถมนายธาริต ยังยืนยันด้วยว่า การทำคดีนี้ไม่มีใบสั่งหรือช่วยฝ่ายใด หรือพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ ที่ออกมาตอบประเด็นสงสัยของสังคมที่ว่า การสั่งไม่ฟ้องของดีเอสไอช่วงนี้ อาจถูกครหาทำเพื่อช่วยพรรคประชาธิปัตย์ในคดียุบพรรคที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการกล่าวหาดีเอสไอรับใช้การเมืองเกือบทุกเรื่องนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวปกป้องว่า “ไม่มี ดีเอสไอ ทำงานตามข้อเท็จจริงของแต่ละคดี ไม่มีลักษณะที่จะมาใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง” ได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ ไม่มีใครบอกได้ เพราะเรื่องนี้สุดท้ายเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ในมุมมองของนักกฎหมาย ล้วนมองตรงกันหมดว่า เมื่อคดีต้นเรื่องไม่สั่งฟ้อง อ้างว่าไม่พบการทำผิด คดีต่อเนื่องกับเรื่องนี้คือ คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของทีพีไอเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแล้ว ที่จะเอาผิด ก็ นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ยังยอมรับเองเลยว่า การที่ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องทีพีไอฯ ถือเป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ แน่นอนว่า บอลมาเข้าเท้าแบบนี้ มีหรือประชาธิปัตย์จะไม่ฉวยโอกาส... ทีมกฎหมายแบไต๋ออกมาแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไร ก็จะเอาประเด็นที่ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้อง ทีพีไอโพลีน ไปใช้ต่อสู้ในชั้นศาลแน่นอน ดีเอสไอ ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่ สังคมคงต้องใช้วิจารณญาณกันเอาเอง!!! แต่ที่แน่ๆ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประ ธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ยังถึงกับออกปากเลยว่า ดีเอสไอแน่มากที่สั่งไม่ฟ้อง อย่างไรก็ตาม ก็จะเสนอต่อพรรคให้ร่างเป็นนโยบายและนำเสนอต่อประชาชนว่าถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อธิบดีคนนี้ต้องถูกย้าย 24 ชั่วโมง แล้วรื้อเรื่องมาพิจารณาใหม่ “ทำไมช่างพูดขนาดนี้ แถลงรายวันทั้งที่เป็นแค่ความเห็นเบื้องต้น ความลับในสำนวนเอามาแถลงหมด เป็นพนักงานสอบสวนประเภทไหน หรือหวังแค่ผลคะแนนทางการเมือง... ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง แต่รู้ว่ากูคิดจะย้ายมึง แล้วอย่าคิดว่าจะช่วยกันได้” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว งานนี้คงต้องจับตาดูว่า จากนี้ไปเส้นทางของนายธาริตจะรุ่งเรืองหรือรุ่งริ่งเพียงใด???
การเมืองวันนี้มีความโปร่งใสกันมากน้อยเพียงใด เป็นสิ่งสังคมไทยควรจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด และตามให้ทันเกมการเมือง