ที่มา มติชน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ โดยนายธาริต เพ็งดิษฐ์ ได้ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับการขยายผลการสอบสวนคดีก่อการร้ายในกรณีการจับนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือ หรั่ง ที่อ้างว่าเป็นมือขวาของ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ. แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นั้น ตนขอตั้งข้อสังเกตุการดำเนินการของดีเอสไอ ดังนี้ 1 ขัดต่อหลักการมีส่วนได้เสียหรือหลักความเป็นกลางหรือไม่ เพราะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นกรรมการ ในคณะกรรมการ ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการออกคำสั่งให้มีการสลายการชุมนุม จึงเท่ากับว่าเหมือนกับเป็นการ ชงเองกินเอง
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า 2.กรณีที่ที่อธิบดีดีเอสไอ แถลงว่า มีการล่อซื้ออาวุธสงครามจากนายหรั่งมาก่อนหน้านี้และจะนำอาวุธดังกล่าวมาโชว์นั้นยิ่งเห็นภาพชัดเจนว่า กระบวนการสอบสวนและจัดทำพยานหลักฐานมีความไม่ปกติอย่างยิ่ง เพราะหากมีการล่อซื้ออาวุธจากนายหรั่งจริง ทำไมเจ้าหน้าที่จึงไม่เข้าจับกุมในคณะที่ทำการส่งมอบ แต่กลับปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาหลายวัน และเพิ่งมาแถลงว่ามีการล่อซื้อดังกล่าว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีข่าวเรื่องนี้มาก่อน โดยอธิบดีดีเอสไอกล่าวว่าทางเจ้าหน้าที่เตรียมที่จะล่อซื้ออาวุธล๊อตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งวางแผนจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือจำนวน 2 ราย แต่ต้องล้มเลิกแผนการนี้ไป เพราะข่าวจับกุมนายหรั่งออกไปก่อน เลยจะนำอาวุธมาแถลงข่าววันนี้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในการดำเนินคดีสำคัญ ที่มีความร้ายแรง และเป็นคดีพิเศษ
"หากมีการซื้อขายอาวุธโดยผู้ต้องสงสัยในคดีที่สำคัญเช่นนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะขยายผลไปจับกุมผู้ร่วมดำเนินการ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมในการก่อคดีร้ายแรงตามคำกล่าวหาของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ย่อมต้องวางแผนเพื่อจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เหลือไปด้วย การล่อซื้อรอบที่สองเพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือจำเป็นต้องดำเนินการเป็นอย่างยิ่ง แต่เหตุใด จึงไม่ดำเนินการ และรีบออกมาแถลงข่าวการจับกุมนายหรั่ง นอกจากนี้การจับกุมนายหรั่ง ก็มีความไม่ปกติ เพราะตามวิสัยของผู้ที่ก่อเหตุร้ายแรงที่มีระวางโทษถึงขึ้นประหารชีวิต ถึง 8 คดีสำคัญ แต่ก็สามารถหลบหนีการจับกุมได้ทุกครั้ง ย่อมต้องมีอาวุธร้ายแรง หรือมีวิธีการที่จะไม่ให้ถูกจับกุมได้โดยง่าย แต่ข้อเท็จจริงที่ตำรวจเข้าจับกุมนายหรั่ง กลับอยู่ในสภาพเหมือนแบบคนที่เข้าพักในโรงแรมปกติไม่มีอาวุธใดๆติดตัว ไม่มีการต่อสู้ขัดขืนเลย" นายพร้อมพงศ์กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่ออีกว่า ตนจึงขอเรียกร้องให้ รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการทุกอย่างด้วยความโปร่งใส ในทุกขั้นตอน ให้ทำการสืบสวน สอบสวน พยานและหลักฐาน ด้วยเทคนิควิธีการที่ทันสมัยอย่างที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ศอฉ. เคยใช้กับคดีอื่นๆ ที่มีทั้งวิทยาการคอมพิวเตอร์ การสืบสวนทางนิติวิทยาศาสตร์ และกระบวนการทางอาชญาวิทยา เสียก่อนอย่าด่วนแถลงข่าวให้สาธารณชน รับทราบเกินกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เพราะจะทำให้เกิดความสับสนในสังคม และหาความสมานฉันท์ได้ยากยิ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการแถลงข่างดังกล่าวนายพร้อมพงศ์ ได้นำ น.ส.เดือน กาไธสง อายุ 28 ปี ภรรยานายสุรชัย และนางเลี้ยง แสนกล้า อายุ 51 ปี มารดาของนายสุรชัย โดยบุคคลทั้ง 2 มาร้องเรียนกับพรรคเพื่อไทย กรณีที่ดีเอสไอแถลงข่าวซึ่งมีลักษณะไม่ธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา จึงขอให้พรรคเพื่อไทนตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้น.ส.เดือน กล่าวทั้งน้ำตา ว่า การแถลงข่าวของดีเอสไอทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนนั้นจะทำให้สังคมมองนายสุรชัยผิดไป ซึ่งวันนี้คดีก็ยังไม่จบตนจึงอยากไม่อยากพูดอะไรมากเพราะอาจจะกระทบกับคดีได้ สำหรับจะดำเนินการฟ้องกลับดีเอสไอหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่นายสุรชัยว่าจะตัดสินใจอย่างไร