ที่มา บางกอกทูเดย์
ฉายารัฐบาลมาร์ค
กระจกเงาแห่งคำพูด
กระจกเงา เป็นสิ่งที่มนุษยชาติประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อให้สะท้อนเห็นภาพของตนเอง จะได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแต่งโฉมให้ดูดีขึ้น
เช่นเดียวกับ การตั้งฉายา ให้กับบุคคลอื่นๆ ก็ด้วยหวังว่าจะเป็น “กระจกเงาแห่งคำพูด” ให้คนที่ได้รับฉายาได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่บุคคลอื่นๆ มีต่อตนเอง
และเพื่อที่จะได้ใช้เสียงสะท้อนนั้นในการพัฒนาปรับปรุงตนเองต่อไป
ซึ่งปกติแล้วบรรดาสื่อมวลชน จะมีการตั้งฉายา สะท้อนการทำงานของรัฐบาล สะท้อนภาพลักษณ์ของคนในคณะรัฐมนตรี ให้แต่ละคนที่ได้รับฉายาไป จะได้เก็บไปคิดเก็บไปทบทวน
โดยในรอบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในห้วงเหวแห่งการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง และการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามของขั้วอำนาจอย่างรุนแรงมาก ดังนั้นรัฐบาลที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยการพลิกเกมทางการเมืองชิงจังหวะขึ้นมาเป็นรัฐบาล อย่างรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกจับตามอง หรือโฟกัสไฟส่องมากเป็นพิเศษ
กระจกบานแรกที่ประเดิมฉายาให้กับรัฐบาลขอนายอภิสิทธิ์ นั้นมาจาก สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยตั้งฉายารัฐบาล "เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว" ระบุถึงความเส้นใหญ่ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้มีอำนาจวาสนา กระบอกปืนและรถถัง รวมถึงบารมีทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ ที่อยู่เบื้องหลัง ส่วนซีอิ๊วที่นำมาผัดทำให้ส่วนประกอบต่างๆ ผัดออกมาแล้วเป็นสีดำด้วยกันหมด
ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ฉายา "อิเหนาหุ้มเกราะ" เนื่องจากตอนเป็นฝ่ายค้านว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง แต่มาเป็นรัฐบาลกลับกลายเป็นพรรคการเมืองที่เลือกจะใช้นโยบายประชานิยมชนิดตัวพ่อ เป็นอิเหนาที่มีชุดเกราะของกองทัพคอยปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างแน่นหนา
แม้แต่กองทัพ ในปีที่ผ่านมาก็ยังได้ฉายาไปด้วยคือ "ทัพไทยหมื่นล้านประสานงานปราบม็อบ" รอบปีที่ผ่านมา กองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพบก สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผลงานที่โดดเด่นที่สุดเพียงเรื่องเดียวคือ การเป็นเกราะคุ้มครองรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทุ่มเทสรรพกำลังและยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่มีมาใช้เพื่อสลายการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนฝ่ายตรงข้าม ภายใต้วาทกรรมการกระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่ ขณะเดียวกันกลับสร้างความเคลือบแคลงสงสัยถึงการใช้จ่ายเงินภาษีของประชาชนในการจัดซื้ออาวุธยุทโปกรณ์ปีละหลายหมื่นล้านบาท
ซึ่งไม่รู้ว่ารัฐบาลจะรู้สึกรู้สมเพียงใด จากฉายาที่ได้
แต่กระจกบานที่สอง ของผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล จากประสบการณ์การทำงานที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ ก็แรงไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นฉายารัฐบาล ที่ว่า “รัฐบาลรอดฉุกเฉิน” ตลอดปี 2553 รัฐบาลต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตภัยธรรมชาติ วิกฤตการเมืองทั้งในและนอกสภา เกิดความขัดแย้งและแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม จนต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในหลายพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ จนทุกฝ่ายมองว่ารัฐบาลไม่น่าจะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ แต่สุดท้ายรอดจากวิกฤตต่างๆ รวมทั้งรอดพ้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ฉายา “ซีมาร์คโลชั่น” เพราะสังคมคาดหวังว่านายกฯจะเข้ามาแก้ไขปัญหาและรักษาอาการของประเทศได้ แต่ผลการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ยังทำได้ผลเพียงการบรรเทาโรค เปรียบเสมือนการใช้ "ซีม่าโลชั่น" ทาแก้คัน
มากที่สุดก็แค่ทาแก้ขี้กรากเท่านั้น!!
ก็ไม่รู้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ ให้นายอภิสิทธิ์ได้คิดหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ เสียงสะท้อนภาพสะท้อนไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะปรากฏว่ากระจกสะท้อนบานที่ 3 ที่มาจาก สื่อมวลชนสายรัฐสภา ก็แรงไม่แพ้กันเท่าไรเลย
โดยได้มีการตั้งฉายาฝ่ายนิติบัญญัติประจำปี 2553 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎร ได้ฉายา "หลังยาว ผลาญภาษี" เพราะปัญหาองค์ประชุมล่มซ้ำซาก ทำงานไม่คุ้มค่า
ส่วนวุฒิสภา ได้รับฉายา "อัมพฤกษ์รับจ๊อบ" เนื่องจากไม่ให้ความสำคัญกับการประชุม มีส่วนหนึ่งรับใช้รัฐบาลและฝ่ายค้านตามเครือข่ายอุปถัมภ์
ในขณะที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชัย ชิดชอบ เจอฉายาแรงไม่เบาเลย นั่นคือ "เฒ่าเก๋า-เจ๊ง" ที่มีความเก๋าเกมในการทำหน้าที่ประธาน แต่ไม่ได้ช่วยคลี่คลายบรรยากาศความขัดแย้งในสภา กลับเดือดระอุ
ส่วนนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ได้ฉายา "ประสพสึก" เพราะไม่สามารถใช้ประสบการณ์อดีตผู้พิพากษาคลี่คลายวิกฤตประเทศได้ ทำให้ชื่อเสียงที่สะสมมาต้องสึกหรอไป
ที่น่าสนใจก็คือ การเลือกดาวเด่นประจำปี 2553 คือ "นายชวลิต วิชยสุทธิ์" ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เนื่องจากได้ตรวจสอบการทำงานรัฐบาลเต็มที่
สะท้อนว่า หากทำดีมีคนเห็นแน่นอน ในขณะที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กุมอำนาจรัฐบาล กุมอำนาจนิติบัญยัติ แถมที่กองทัพ มีขั้วอำนาจหนุนหลัง กลับไม่มีผลงานที่โดดเด่นพอที่จะเป็นดาวเด่นสภา
ในขณะที่คู่ปรับของพรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาล คือ พรรคเพื่อไทย ก็ทำหน้าที่เป็นกระจกอีกบานที่ สะท้อนความรู้สึกให้รัฐบาลได้รับรู้ด้วยเช่นกัน
โดยในฐานะพรรคฝ่ายค้านได้สะท้อนการทำงาน 2 ปีของรัฐบาลชุดนี้ ด้วยการตั้งฉายารัฐบาลว่า เป็น "ครม.ผีเน่าโลงผุ"
เพราะเป็นการผสมกันระหว่างหลายพรรคการเมือง ที่ในอดีตเคยอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกัน บางพรรคไร้ฝีมือ ทำเพื่อผลประโยชน์ตนเองเป็นหลัก คล้ายกับเป็นโลงผุ แต่สุดท้ายก็จูบปากกันอยู่ด้วยกัน มัดตราสัง อยู่ด้วยกันอย่างน่าละอาย
ส่วนฉายา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คือ "มาร์คฟอร์มาลิน" เพราะบริหารประเทศในช่วง 2 ปีมีคนตายเป็นร้อย บาดเจ็บกว่า 3 พันคนแต่กลับไม่สะทกสะท้าน และมีมือที่มองไม่เห็น มาฉีดฟอร์มาลิน แช่ศพเอาไว้
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้รับฉายาว่า "ขุนแพง.. เราไม่แพง...เขาแพง.." จากคดีบุกรุกที่ดินเขาแพง ที่ยังไม่สามารถตอบสังคมได้
สำหรับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกฯ ได้รับฉายาว่า "ปลา..กรอบ..เรียกพี่" เพราะนับตั้งแต่คดีทุจริตชุมชนพอเพียง จากตำแหน่งรองนายกฯ ถูกลดชั้นเป็นเลขาธิการนายกฯ กระทั่งต้องลาออกไปแบบอมเลือด
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับฉายาว่า "แป๊ะร้านปืน..." เพราะมีบุคลิกหน้าตาเป็นอาแปะ และกรณีความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตร้านปืน
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "กรณ์...กู้ไว้ก่อน...เพื่อนสอนไว้" เพราะผลงานในช่วง 2 ปีก็คือ การกู้ กู้ กู้ และก็กู้ จนทำให้วันนี้ประเทศมีหนี้เป็นแสนๆ ล้านบาท
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "มือฆ่า ฐานันดร 4" เนื่องจากในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง สื่อมวลชนระบุว่า นายสาทิตย์โทรศัพท์ไปยังกองบรรณาธิการสื่อหลายครั้ง ทำให้วันนี้อาชีพสื่อสารมวลชน ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานันดร 4 กลับถูกละเมิดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคล้ายฆาตกรสื่อในช่วงปีที่ผ่านมา
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "รมต..แต่งแล้วรวย" เพราะหลังจากรับตำแหน่ง รมต.สำนักฯ กรณีที่ออกมาชี้แจง เรื่องการแสดงบัญชีทรัพย์สิน ที่มีเพิ่มมากขึ้นจากก่อนหน้าที่เข้ารับตำแหน่งหลายสิบล้านบาทว่า เป็นเงินช่วยซองจากงานแต่งงานที่มีสูงกว่า 10 ล้านบาท
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม "ซาเล้ง..กระเตงหมื่นล้าน" หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงโครงการต่างๆ ในกระทรวงคมนาคม
นายไพฑูรย์ แก้วทอง อดีต รมว.แรงงาน ได้รับฉายา "พญาโศกสลด" หลังจากถูกปรับออกจาก ครม.ทั้งๆ ที่เป็นแกนนำระดับแถวหน้าของพรรคประชาธิปัตย์ จนถึงขั้นประกาศลาออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่
นายชัย ชิดชอบ ในฐานะประธานรัฐสภา ได้รับฉายาว่า "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ด้วยความเป็นบิดาของนายเนวิน ชิดชอบ และเป็นขาใหญ่ของพรรคภูมิใจ
เหล่านี้ล้วนเป็นมุมมอง เป็นความรู้สึกที่สะท้อนออกมาสู่สังคม ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบกับฉายาที่ได้รับก็ตาม ควรที่จะต้องนำไปไตร่ตรองทบทวน
ว่าทำไมที่พยายามตีปี๊บสร้างภาพว่ามีผลงานดี แต่ฉายาที่ได้รับจึงเป็นลบไปหมด ไม่ว่าจากภาคส่วนใดๆก็ตาม
น่าคิดมากจริงๆใช่ไหม นายกฯอภิสิทธิ์!!!