ที่มา มติชน
เป็นบรรยากาศแห่งการตรวจสอบอันเข้มข้น
คงจำกันได้ว่าก่อนการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 เพียง 2 สัปดาห์ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ออกคำวินิจฉัยความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กรณี "ปกปิด" บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน
การจัดตั้งรัฐบาลของพรรคไทยรักไทยที่มีพื้นฐาน ส.ส. 248 จาก 500 เสียง จึงเป็นการจัดตั้งรัฐบาลบนรากฐานแห่งความไม่แน่นอน
เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในทิศทางเดียวกับ ป.ป.ช.ก็จอด
ขณะเดียวกัน บรรยากาศที่ร้อนแรงเป็นอย่างยิ่งจากเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม 2544 คือ บรรยากาศแห่งการ วิพากษ์แนวนโยบาย "คิดใหม่ ทำใหม่" ของพรรคไทยรักไทย
ไม่มีใครเชื่อว่า โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคจะทำได้
ไม่มีใครเชื่อว่า โครงการพักการชำระหนี้ โครงการกองทุนหมู่บ้าน จะทำได้
คำถามจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น นายชวน หลีกภัย ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ จะเอาเงินจากไหน
เป็นคำถามเดียวกันกับที่มีต่อนโยบายพรรคเพื่อไทยในเดือนกรกฎาคม 2554
จากเดือนมกราคม 2544 มาถึงเดือนกรกฎาคม 2554 ไม่มีใครสงสัยต่อโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค อีกแล้ว
เพราะทุกพรรคการเมืองล้วนสมาทานโครงการนี้ราวกับเป็นของตนเอง
ยิ่ง โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง หากใครติดตามการเขียนนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน
ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคประชาธิปัตย์
ก็จะประจักษ์ในความวิลิศมาหรา ก็จะประจักษ์ว่าทุกพรรคการเมืองล้วนยอมรับว่าแนวทางประชานิยม คือ การสร้างความนิยม
เพียงแต่ประชาชนเชื่อนโยบายพรรคเพื่อไทยมากกว่า
เพราะ ความเชื่อมั่นพรรคเพื่อไทย จึงทำให้พรรคการเมืองนี้ได้คะแนนในแบบบัญชีรายชื่อมากถึง 15 ล้านเสียง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ 11 ล้านเสียง ขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้ 1 ล้านกว่าเสียง
ในที่สุดแล้ว คือ เชื่อมั่นต่อพรรคไทยรักไทย เชื่อมั่นต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ความหวาดหวั่นประการหนึ่งอันเป็นความรู้สึกร่วมของขบวนการที่ต้านพรรคไทยรักไทย ต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อแปรมาเป็นพรรคเพื่อไทยคือ
ความหวาดหวั่นว่า พรรคเพื่อไทยจะเดินไปในทางสายเดียวกับพรรคไทยรักไทย
นั่น ก็คือ ความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยในห้วงเพียง 6 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 ทำให้แม้กระทั่ง นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว ก็ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
น่าสนใจก็ตรงที่ทั้ง นพ.ประเวศ วะสี และเจ้าสัวระดับ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ก็ออกมาหนุนให้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินหน้าบริหารบ้านเมืองต่อไป
เพราะ เกิดความหวาดหวั่นว่าความสำเร็จของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2544 จะถ่ายโอนมาเป็นความสำเร็จของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยการขับเคลื่อนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงได้เกิดบรรยากาศแห่งการเตะสกัดขา
เตะสกัดขาผ่านกระบวนการวินิจฉัยของ กกต.
เตะ สกัดขาผ่านกระบวนการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผ่านกระบวนการวินิจฉัยของคณะกรรมการ ก.ล.ต. และที่สุดก็เข้าสู่กระบวนการของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง และเข้าสู่กระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ
เจตนาคือการทำแท้งก่อนคลอด
หากจับกระแสการเคลื่อนไหวอันเผยแสดงตัวตนออกมาอย่างเด่นชัด เปิดเผย ก็จะประจักษ์
ประจักษ์ในความวิตก ประจักษ์ในความหวาดกลัว กระทั่ง พยายามจะดึงบทเรียนและผลพวงของรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 กลับมาอีกครั้ง
ทั้งๆ ที่รู้เป็นอย่างดีว่านั่นไม่เพียงท้าทายพรรคเพื่อไทย หากแต่ยังท้าทายประชาชนด้วย