WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, August 1, 2011

มันเปลี่ยนไปแล้วเจ้านาย

ที่มา มติชน



โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ

(ที่มา คอลัมน์ที่เห็นและเป็นไป หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2554)


เหมือนความยุ่งยากทางการเมืองมีอยู่ไม่หยุดหย่อน แต่หากมองให้ละเอียดกลับเห็นแนวโน้มที่ดี

เปล่า ไม่ใช่หรอก ! ไม่ใช่นักการเมือง หรือข้าราชการประจำ หรือนักวิชาการ หรือองค์กรต่างๆ ที่วางท่าเป็นผู้นำ เป็นผู้ชี้ทางสว่างทางการเมือง

พวกนี้ลองเข้าไปคุยใกล้ๆ ฟังให้ดี ล้วนมีความคิดไปในทางเอือมระอาประชาชนเสียเป็นส่วนใหญ่

มุมมองของท่านผู้นำทางสังคมพวกนี้ ช่างอิดหนาระอาใจเหลือเกินกับความไม่รู้ประสีประสาของประชาชนในเรื่องการเมืองการปกครอง

"เพราะ ประชาชนไม่มีความรู้ ขาดจิตสำนึกประชาธิปไตย ประเทศไทยเราจึงไม่พัฒนาไปถึงไหนเสียที หากจะพัฒนาประชาธิปไตยขึ้นมาต้องให้ความรู้กับประชาชนก่อน จึงจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ หรือพอที่จะพึ่งพาอาศัยใช้เป็นระบบในการปกครองประเทศได้"

ฟังให้ดี ฟังใกล้ๆ จะได้ยินน้ำเสียงและความคิดแบบนี้ ในหมู่ท่านผู้นำทั้งหลาย

พูดอย่างนี้กันมายาวนานแล้ว ยกความอ่อนด้อยของการพัฒนาประชาธิปไตยไปให้ความไม่รู้ ไร้สำนึกของประชาชนเป็นต้นเหตุสำคัญ

เหมือนกับว่า หากการเมืองการปกครองของประเทศจะดีขึ้นต้องอาศัยคนเหล่านี้ไปชี้นำ ไปชักจูงประชาชนให้เห็นคุณค่าของประชาธิปไตย

แต่แนวโน้มประชาธิปไตยที่ดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง อย่างที่บอก "ไม่ใช่เกิดจากคนเหล่านี้"

กลับกลายเป็นว่า "ประชาชนต่างหากที่นำพาประเทศก้าวไปสู่การพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม"

มาดูรูปธรรมกัน

ขณะ ที่กลุ่มคนที่บอกว่าเป็นผู้นำทางการเมือง เป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม ช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญ ให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เพื่อให้ได้รัฐบาลผสมที่จะทำให้อำนาจรัฐอ่อนแอ

เพราะเชื่อว่าบ้านนี้เมืองนี้เศรษฐีจะมาซื้อเสียงประชาชน และจัดตั้งรัฐบาลที่เข้มแข็งขึ้นมา ยึดอำนาจรัฐไปทำธุรกิจการเมือง

รัฐธรรมนูญ ปี 2550 เกิดจากความไม่วางใจประชาชน เชื่อว่าจะถูกซื้อจากนักการเมืองได้ง่าย เพราะไร้สำนึกประชาธิปไตย

ยัง มีการแก้ไขการเลือกตั้งเป็นแบบ เขตเดียว เบอร์เดียว เพราะเชื่อว่านักการเมืองจะใช้อิทธิพลส่วนตัวสร้างชัยชนะในการเลือกตั้งได้ เป็นโอกาสที่จะทำให้พรรคเล็กมีสิทธิได้รับเลือกตั้งมากขึ้น

วางกติกาไปสู่เป้าหมายว่าจะต้องให้ได้รัฐบาลผสมที่ไม่มีพรรคใดได้เสียงเกินครึ่ง

การเมืองไทยจะเป็นการเมืองแบบหลายพรรค ไม่เป็นระบบ 2 พรรคอย่างประเทศที่ประชาธิปไตยพัฒนาแล้วอื่นๆ

ผู้ นำทางความคิดทั้งหลายพยายามออกแบบการเมืองให้เป็นไปในกรอบนี้ ด้วยความคิดที่ไม่เชื่อมั่น และหมิ่นแคลนประชาชนว่าไร้การศึกษา ไม่มีความรู้ ขายสิทธิ ขายเสียง

แล้วเป็นไง

ผลการเลือกตั้ง ที่ออกมา สวนทางกับความเข้าใจของบรรดาท่านผู้นำทั้งหลายแทบจะสิ้นเชิง กระทั่งการออกแบบทางการเมืองด้วยรัฐธรรมนูญยังไม่มีความหมาย

ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ใช้การเลือกตั้งจัดวางการเมืองไทยให้เป็นระบบ 2 พรรค

ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งด้วยเสียงข้างมากเกินกว่าครึ่งเพื่อให้เข้ามาบริหารประเทศ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ

แบบ ร่างทางการเมืองที่ออกโดยรัฐธรรมนูญของกลุ่มผู้ดูถูกความคิดความอ่านประชาชน ถูกเขี่ยทิ้งไม่เป็นท่า ด้วยการใช้สิทธิมีแค่ได้กาเลือกเพียงหนึ่งเสียงของประชาชน

ประชาชน กำลังพัฒนาประชาธิปไตยตามความเข้าใจของตัวเองขึ้นมา ด้วยสิทธิและอำนาจที่มีอยู่น้อยนิดในแต่ละคน แต่เมื่อรวมกันแล้วสามารถเปลี่ยนแปลง ชี้นำได้

ทำให้เห็นชัดได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการอะไร

ทำให้รู้กันไปเลยว่า ประชาชนไม่ได้โง่อย่างที่คิดกัน

ถึง วันนี้ ประชาชนเดินนำหน้าในการพัฒนาประชาธิปไตยให้แล้ว ฝ่าด่านรัฐธรรมนูญสร้างประชาธิปไตยแบบระบบ 2 พรรคขึ้นมา พร้อมกับให้เสียงข้างมากกับพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาล เพื่อสร้างเสถียรภาพในการบริหารประเทศ

ประหลาดตรงนี้ พวกที่หลงว่าเป็นผู้นำทางการเมืองที่ผิดหวังเพราะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ฉบับหมิ่นแคลนประชาชน กลับออกมาตะโกนว่า "ประชาชนโง่" โดยไม่ส่องกระจกดูเงาตัวเองที่ครอบงำอยู่ด้วยความหลงยุคหลงสมัย

และ ที่น่าแปลกใจจนชวนให้ตื่นตะลึงไปกว่านั้น ยังมีบางพวก บางเหล่า ที่ยังคิดว่าตัวเองยังมีอำนาจที่จะหยุดการพัฒนาประชาธิปไตยที่ประชาชนออกมา เดินนำนี้

เป็นความพยายามที่จะใช้อำนาจอย่างทุลักทุเล เต็มไปด้วยท่าทีของคนอารมณ์ร้าย

อย่างน่าหัวร่อ