ที่มา ประชาไท
กรกช เพียงใจ
ใครบางคนบอกว่า "ข้อเท็จจริง" (fact) นั้นแตกต่างจาก "ความจริง" (truth)
บันทึกนี้จึงอาจกล่าวอ้างได้เพียงว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของข้อเท็จจริงอันมากมายมหาศาล
แต่ก็คือทั้งหมดที่ฉันเห็น สังเกต และรู้สึก ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
มนุษย์ผู้ไม่ได้ไปอยู่ ณ จุดปะทะสำคัญใดๆ กับเขาเลย
หากใครคาดหวังเช่นนั้น ขออภัยล่วงหน้า ....
- - - - - - - - - - - -
ค่ำวันที่ 12 เมษายน 2552
ไม่มีใครออกปากบอกให้ออกไปดูพื้นที่หรอก เพราะสถานการณ์ดูเหมือนรุนแรงขึ้นทุกขณะ ตลอดทั้งวันทีวีฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุการณ์คนเสื้อแดงบุกทุบรถที่คาดว่ามีนายกฯ นั่งอยู่ ทุบรถเลขานายกฯ ลากเอาตัวออกมาได้ที่กระทรวงมหาดไทย ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวคนเสื้อแดงบุกที่ประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา ปะทะคนเสื้อน้ำเงิน นายกรัฐมนตรีประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารฮึ่มๆ ทยอยเคลื่อนเข้ากรุง ฯลฯ
ท่ามกลางข่าววุ่นวายทั้งหลาย และเงื่อนไขที่กำลังใกล้สู่การปราบปราม ฉันตัดสินใจเดินทางจากบ้านย่านชานเมืองไปหาเพื่อนสมัยเรียนที่พักอยู่ที่อพาร์ตเม้นท์แถวสะพานผ่านฟ้าโดยไม่บอกใคร เพราะกลัวโดนทัดทาน
"เค้าปิดถนนหมดแล้ว ถ้าแกหาทางมาถึงนี่ให้ได้ก็โอเค มันไม่เหลือทางไหนนอกจากแกจะเหาะมา" แม้แต่เพื่อนรักยังประเมินแบบไม่เข้าข้าง
หลังจากเดินเข้าเดินออกประตูบ้านอยู่หลายรอบ จึงตัดสินใจใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ซึ่งเขาก็ไม่รับปากว่าจะไปส่งได้ถึงที่อยู่ดี
0000
สภาพของกรุงเทพฯ คืนนั้นในยามสองสามทุ่ม ดูเงียบเชียบผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด มอเตอร์ไซค์คันน้อยวิ่งฉิวเกินไปจนทำให้รู้สึกวังเวง แล้วเราก็เริ่มพบด่านสกัดตั้งแต่แยกศรีอยุธยา ไล่ไปถึงแยกราชเทวี อุรุพงษ์ ยมราช และตลอดทั้งเส้นหลานหลวงยาวถึงผ่านฟ้า มันเป็นด่านของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บ้างก็เอารถแท็กซี่หรือรถเครื่องเสียงมากั้น บ้างไปยึดรถเมล์มาขวาง แต่ละจุดมีคนไม่มากนัก ตั้งแต่ยี่สิบกว่าคนถึงสี่ห้าสิบคน พวกเขากั้นไม่ให้รถวิ่ง แต่สำหรับมอเตอร์ไซด์แล้วผ่านได้ และมีคนเสื้อแดงบางคนคอยบอกเส้นทางที่สะดวกที่สุดในการสัญจร
ฉันแวะเอากระเป๋าไปเก็บที่หอเพื่อนซึ่งทำหน้าตกใจเหมือนว่าฉันเหาะมาจริงๆ แล้วก็ลากกล้องดิจิตอลป๊อกแป๊กที่มีออกเดินไปตามถนนราชดำเนินนอก มุ่งหน้าไปยังเวทีหลักที่ทำเนียบรัฐบาลในช่วงประมาณสี่ห้าทุ่ม ถนนเงียบเชียบ แต่ละแยกมีรถเมล์ขวางอยู่ พร้อมคนจำนวนหนึ่ง แต่ยิ่งใกล้ทำเนียบฯ คนก็เริ่มหนาแน่นขึ้น โดยบรรดาการ์ดที่พบเจอในทุกๆ จุด จะเห็นมีผู้หญิงร่วมอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย ฉันไม่รู้ว่าจุดอื่นๆ เป็นอย่างไร แต่บริเวณนี้พวกเขาดูไม่ถมึงทึงแบบการ์ดมืออาชีพสักเท่าไร หากแต่ดูกระตือรือร้นเกินปกติ บ้างถือไม้ประจำกาย บ้างเดินไปเดินมา เข้าใจว่าไม่ได้มีการจัดการเป็นระบบและอาศัย "การ์ดอาสา" เป็นหลัก เพราะฉันเห็นคนหนึ่งถือพลั่วด้วย
ที่แยก จปร.ฉันเจอกับรุ่นพี่ที่รู้จักคนหนึ่ง โดยปกติเขาเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มักสิงสถิตอยู่ในเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างมีบรรยากาศการถกเถียงทางวิชาการสูง เขาชวนเพื่อนในเว็บบอร์ดมากันสองสามคน ใส่เสื้อยืดธรรมดาแต่มีผ้าพันคอแดงผูกไว้ ถามไถ่ไล่เรียงไปปรากฏว่าเพิ่งมาร่วมสมทบในช่วงเย็นหลังจากเขาปิดถนนกันแล้ว
"ไม่ไหว ต้องออกมาช่วยพวกเสื้อแดงหน่อย" เขาว่าอย่างนั้น
ภาพ: สุเจน กรรพฤทธิ์
0000
ผู้คนในค่ำคืนนั้นหนาตากว่าปกติมาก มีจอโปรเจ็กเตอร์ฉายการปราศรัยจากเวทีใหญ่เพิ่มขึ้นหลายจุดบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีคนนั่งกระจายดูการปราศรัยตามจุดต่างๆ มากพอสมควร เมื่อเดินไปในทำเนียบฯ บรรยากาศก็ยังคงคึกคัก แผงของกินยังเปิดขายละลานตา
ผู้ชุมนุมหลายคนเริ่มพักผ่อนเอาแรง ไล่ตั้งแต่นอนแผ่ในเต็นท์ ข้างถนน ไปจนถึงนั่งหลับอยู่ตามที่ต่างๆ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นประชาชนจากต่างจังหวัดที่ปักหลักอยู่กันมาหลายวันแล้ว แต่จากการสอบถามก็พบว่ามีผู้ชุมนุมชาวกรุงเทพฯ หลายคนที่เคยไปๆ กลับๆ ตัดสินใจนอนค้างเพราะกลัวว่าจะมีการสลายการชุมนุมเร็วๆ นี้ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าเมื่อไหร่
เมื่อเดินสำรวจไปถึงแถวลานพระบรมรูปทรงม้าก็เห็นมีคนปักหลักอยู่พอสมควร นักข่าวฝรั่งคนหนึ่งมีปลอกแขน "PRESS" หมวกกันน็อก "PRESS" ขับมอเตอร์ไซด์ผ่านหน้าฉันซึ่งกำลังปวดขาอย่างยิ่งไป เขาไปจอดที่กลุ่มของนักข่าวฝรั่งที่กำลังสัมภาษณ์ลุงเสื้อแดงคนหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็ได้พบนักข่าวไทยที่ทำงานในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่งที่ฉันรู้จักอยู่ในนั้นด้วย เขาและกองทัพนักข่าวต่างประเทศจึงชวนฉันเดินไปสัมภาษณ์แกนนำหลังเวทีข้างทำเนียบฯ ด้วยกัน
ผู้ประสานงานหลังเวทีจัดแจงให้บรรดานักข่าวต่างประเทศ 6-7 คนขึ้นไปสัมภาษณ์แกนนำที่กำลังนอนหลับอยู่บนรถบัสหลังเวที แบบปลุกขึ้นมาจากเบาะแล้วนั่งคุยกันในนั้นเลย อาจเพราะข้างนอกเสียงดังตลอดเวลากระมัง เขาถึงได้อดทนคุยกันบนรถแบบค่อนข้างแออัด จรัล ดิษฐาอภิชัย คือเป้าหมาย ขณะที่ยังมีอีกสองสามคนนอนอยู่บนรถด้วย จรัลพูดถึงความยากลำบากในการคุมมวลชนที่เดินหน้าไปไกล และเรียกร้องให้แกนนำทำอะไรเสียบ้าง เช่น บุกบ้านพล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) และเขาต้องพยายามตามมวลชนให้ทัน โดยที่ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างนับแต่นี้ อย่างไรก็ดี นี่สะท้อนภาวะบางอย่างของแกนนำ แต่อาจไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมด
จากนั้นจักรภาพ เพ็ญแข ก็เดินขึ้นมาและถูกนักข่าวถามเป็นรายต่อมา เขาพูดถึงความแตกต่างว่านี่ไม่ใช่สงครามกลางเมือง หากแต่เป็น civil war และรายละเอียดหลายอย่างที่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัด และกระทั่งถึงแปลไม่ออก นอกจากนี้เขายังเป็นล่ามให้สุรชัย แซ่ด่าน (ด่านวัฒนานุสรณ์) ที่ขึ้นมาให้ข่าวเรื่องที่กลุ่มเสื้อแดงยึดอาวุธสงครามจากรถจีเอ็มซีของทหารได้จากบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง และในเวลาต่อมาทางเวทีได้ฉายคลิปหลักฐานเหตุการณ์นี้ให้ผู้ชุมนุมดู มีอาวุธปืนเอ็ม 16 แบบพับฐานสองลังที่คนเสื้อแดงประสานทางตำรวจให้ยึดจากรถทหารนำไปเก็บไว้ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นคนบรรยายภาพคลิปนั้น และเรียกเสียงหัวเราะ เสียงเฮ จากผู้ชุมนุมได้เป็นระยะๆ
หลังจากนักข่าวต่างประเทศแยกย้ายกลับ นักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามนักข่าวหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ฉันรู้จักว่าจักรภพพูดกับนักข่าวต่างประเทศอย่างไรบ้าง โดยให้เหตุผลว่าจักรภพมักพูดกับนักข่าวไทยอย่างหนึ่ง พูดกับนักข่าวต่างประเทศอีกแบบหนึ่ง นักข่าวหนังสือพิมพ์ต่างประเทศออกอาการเหนื่อย ขี้เกียจเล่า จึงเกิดการถกเถียงกันพักหนึ่ง ก่อนพวกเขาจะแยกย้ายต่างคนต่างไป
0000
ฉันเดินวนๆ อยู่ในนั้นอีกจนตีสองกว่าจึงเดินกลับออกมาที่หอเพื่อนเพื่องีบเอาแรง ระหว่างทางเห็นบรรดาการ์ดทั้งชาย หญิงนอนแผ่กันบนสนามหญ้าริมฟุตบาทถนนราชดำเนินกลาง กำไม้อันยาวๆ ไว้กับตัว บางคนเอาผ้าเช็ดตัวคลุมตลอดหัวยันเท้าป้องกันฝูงยุง รถเมล์ปรับอากาศที่ยึดมาปิดถนน ตอนนี้กลายเป็นห้องนอนติดแอร์ของคนเสื้อแดงที่ขึ้นไปนั่งงีบกันเต็มคันรถ
ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า ช่างภาพของหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่นั่งรวมกลุ่มอยู่กันที่นี่ คละๆ ไปกับกลุ่มประชาชนที่ปิดถนนแถวนั้น อากาศร้อนอบอ้าว ยุงก็เยอะ ใจคิดอยากจะชวนพวกเขาไปล้างหน้าล้างตาเหมือนกันแต่ก็เกรงใจเพื่อน ฉันเลยกลับมาพักผ่อนนอนหลับแต่ผู้เดียว
โปรดติดตามตอนต่อไป
8 เม.ย. มีการชุมนุมใหญ่หน้าทำเนียบฯ และเคลื่อนไปยังหน้าบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หลังจากที่เริ่มต้นมาตั้งวันที่ 26 มี.ค. 9 เม.ย.กลุ่มเสื้อแดงได้กระจายการชุมนุมไปยังกระทรวงต่างๆ 10 เม.ย. กลุ่มเสื้อแดงบางส่วนยึดถนนโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และจุดอื่นๆ จากนั้นในจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำได้ประกาศให้กลุ่มเสื้อแดงยุติการปิดถนนเพื่อมารวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาล คอยติดตามผลการปิดล้อมการประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา 11 เม.ย. - เสื้อแดงบุกเข้าที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน +3 +6 ที่พัทยา หลังจากปะทะกับกลุ่มเสื้อน้ำเงิน จนในที่สุดต้องมีการเลื่อนการประชุมและส่งผู้นำประเทศต่างๆ กลับประเทศ จากนั้นอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้ พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงที่พัทยา และจังหวัดชลบุรี ก่อนจะประกาศยกเลิกในช่วงค่ำ 12 เม.ย. - ในช่วงสายมีข่าว นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ถูกจับกุมที่บ้านพักและนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปพร้อมนายจตุพร พรหมพันธุ์ โดยไม่รู้ที่หมาย จากนั้นจึงมีข่าวว่าได้นำตัวนายอริสมันต์ไปยังค่ายนเรศวน จ.ประจวบฯ นอกจากนี้ยังมีการออกหมายจับเพิ่มเติมแกนนำอีก 4 คนในหลายข้อหา เช่น มั่วสุม กระทำการทางวาจาเพื่อให้มีการล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน กีดขวางการจราจร ช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรี ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินขั้นร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี อ.เมือง จ.สมุทรปราการ อ.บางพลี อ.พระประแดง อ.บางบ่อ อ.บางเสาธง ,อ.ธัญบุรี อ.ลาดหลุมแก้ว อ.สามโคก อ.ลำลุกกา อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ,อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม และอ.วังน้อย อ.บางปะอิน อ.บางไทน อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ได้ระดมผู้ชุมนุมไปขัดขวางการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว ซึ่งนายกฯ จะแถลงที่กระทรวงมหาดไทย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง ได้บุกเข้าไปภายในกระทรวง บุกทำลายรถประจำตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีด้วยความโกรธแค้น มีการยิงปืนขึ้นฟ้าโดยการ์ดที่ดูแลนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และเกิดการบุกทุบรถขึ้นจนทำให้การ์ดประจำตัวนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาฯ นายกรัฐมนตรีได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสข่าวลือว่ามีคนเสื้อแดงที่ถูกยิงและถูกลากตัวเข้าไปไว้ภายในกระทรวง ในภายหลังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ออกมาให้การปฏิเสธ ในช่วงเย็น สัญญาณภาพของสถานีโทรทัศน์ดีทีวีได้หยุดออกอากาศรายงานสดการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยทางดาวเทียมไทยคมแจ้งว่าได้รับคำสั่งจากรัฐบาลหลังจากมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุนเฉิน แต่ไม่ถึงสองชั่วโมงก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง กองทัพจัดส่งกำลังสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 56 กองร้อย ตามแผน "อาร์มทอง" เพื่อดูแลสถานที่ราชการสำคัญ ด้านกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องทุกคนเตรียมอยู่ในที่ตั้ง ดูแลความปลอดภัยของประชาชนกันเองในทุกพื้นที่ และเตรียมพร้อมใช้พลังโดยทันที เมื่อถึงเหตุการณ์ที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศ |