WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, May 28, 2009

ยื้อคืนภาษี ป่วนทั้งเมือง!

ที่มา Thai E-News

ที่มา เรื่องจากปก เวบไซต์ บางกอกทูเดย์
26 พฤษภาคม 2552

ทำงานเป็นหรือไม่เป็น ไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือโวหาร หากแต่จะต้องอยู่ที่การกระทำ

ดังนั้น แม้ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเพียรพยายามพูดในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ ว่า ปลายปีนี้เศรษฐกิจไทยจะต้องดีขึ้น เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 กำลังจะได้ผลแล้ว!?!

แต่ภาคธุรกิจเอกชน ที่ทำมาค้าขายเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รวมทั้งได้ประสบปัญหาจากมาตรการของรัฐบาลชุดนี้ด้วยตนเอง ยืนยันว่า ไม่เชื่อ ทั้งคำพูด และก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นให้

เพราะล่าสุด หน่วยงานภาครัฐอย่างคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังออกมาแถลงยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกติดลบอย่างรุนแรง หนักหนาสาหัส ถึง -7.1%

นี่คือฝีมือของรัฐบาลใช่หรือไม่???

แน่นอนว่า ตามสูตรดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมต้องพูด เอาแต่ดีเข้าตัว โยนชั่วให้คนอื่น

กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ บอกทันทีเลยว่า ที่เศรษฐกิจของไทยไตรมาส 1 ย่ำแย่ทรุดหนักขนาดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการเมือง

โยนบาปไปเรื่องของการเมืองทันที เพราะจังหวะและเวลาให้

แต่พรรคประชาธิปัตย์อาจจะลืมไป หรืออาจจะนับวันเดือนปีไม่ถูก เพราะเหตุวุ่นวายทางการเมือง ที่เกิดจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์กลางเดือนเมษายน ซึ่งไม่ใช่ช่วงระยะเวลาไตรมาส 1ที่ตัวเลขออกมาติดลบอย่างหนัก

เพราะไตรมาส 1 คือ มกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น ยังไม่นับถึงเมษายน ผลกระทบทางการเมืองที่มีผลต่อการติดลบของตัวเลขไตรมาส 1 ปีนี้ จะต้องเป็นเหตุปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมือง ที่เกิดจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในปลายปี 2551 ต่างหาก

ซึ่งเรื่องนี้จริงๆ ก็คือ ฝีมือของคนที่พรรคประชาธิปัตย์ เอาเข้ามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานี้นั่นแหละ ที่ร่วมขบวนการปิดสุวรรณภูมิด้วยตนเอง

ฉะนั้น หากบอกว่า การเมืองทำให้จีดีพีของประเทศติดลบ 7.1% ในไตรมาสแรกนี้ รัฐบาลจะต้องยอมรับว่าเป็นเพราะฝีมือของพวกเดียวกันนั่นแหละ

แต่ทั้งหลายทั้งปวง เป็นเรื่องที่ว่า ทำงานกันเป็นแค่ไหน

รัฐบาลอภิสิทธิ์ 1 กระตุ้นเศรษฐกิจกันเป็นหรือไม่ ถ้าคิดว่าสามารถทำได้ ทำไมตัวเลขที่แท้จริง ถึงออกมาฟ้องแบบนี้ หรือทำไมกอร์ปศักดิ์จึงต้องออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า รัฐบาลเข้ามาทำงานช่วงต้นเดือนมกราคม ทำได้เพียงการล้างท่อ เตรียมใช้งบประมาณกลางปี 100,000 ล้านบาท เท่านั้น

แล้วสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ อุตส่าห์คุยใหญ่โตว่า ดำเนินการประชานิยม แจกเงินเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท ให้กับคนกว่า8 ล้านคน รับรองว่า กระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่นอนนั้น

วันนี้ทำไมเงียบเป็นเป่าสาก ไม่เอามาเป็นผลงานคุยโวโอ้อวดอีกว่า กระตุ้นเศรษฐกิจได้แน่ๆ อย่างที่หาเสียงเอาไว้

แม้แต่เงินยังชีพคนชรา แม้แต่นโยบายเรียนฟรีก็เช่นกัน วันนี้ เงินยังไม่ถึงมือคนชรา ส่วนเรียนฟรี พ่อแม่ผู้ปกครองด่ากันเช็ดทั้งเมือง เรียนฟรีตรงไหน??? ผู้ปกครองยังต้องควักจ่ายเงินกันหน้าตาซีดเซียว ทั้งแป๊ะเจี๊ยะ ทั้งค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าเสื้อผ้า จนหลายคนหมดศรัทธากับการหาเสียงทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์

แต่ที่แสบสันต์ที่สุดก็คือ เรื่องของการคืนภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ซึ่งได้ยื่นเสียภาษีไปสิ้นสุดเมื่อ 31 มีนาคมที่ผ่านมา

เวลานี้เสียงสะท้อนด่าตั้งแต่ กรมสรรพากร ยุคที่มี วินัย วิทวัสการเวช นั่งแป้นเป็นอธิบดี ไล่ขึ้นไปถึง กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และแม้แต่รัฐบาล ซึ่งหมายรวมถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ ด้วยว่ารัฐบาลเล่นอะไรอยู่ สรรพากรจึงงอแง และดึงหนี้ในการคืนภาษี จนวุ่นวายไปทั้งประเทศแบบนี้

สาเหตุที่ปีนี้ ประชาชนจะต้องได้เงินภาษีคืนกันมาก ก็เพราะรัฐบาลที่ทำงานเป็น ได้มีมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2551 ว่า เพื่อเป็นการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงได้มีการใช้มาตรการภาษี เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน และส่งเสริมการออมของภาคครัวเรือน รวมทั้งช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม

- โดยการปรับเพิ่มวงเงินสุทธิ ที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 100,000 บาทเพิ่มเป็น 150,000 บาท

- ปรับเพิ่มวงเงิน การยกเว้นและการหักค่าลดหย่อนเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันชีวิต จากเดิมที่กำหนดไว้ 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท

- เพิ่มการหักค่าลดหย่อน ค่าอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรส บิดามารดา บุตร ซึ่งเป็นคนพิการได้ 30,000 บาท เป็นต้น

- ปรับเพิ่มวงเงินการหักลดหย่อนเงินได้เท่าที่จ่าย เป็นการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ จากเดิมไม่เกิน 300,000 บาท เพิ่มเป็นไม่เกิน 500,000 บาท

- รวมทั้งปรับเพิ่ม วงเงินการหักค่าลดหย่อนเงินได้ เท่าที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้นระยะยาว จากเดิมไม่เกิน 300,000 บาท เพิ่มเป็นไม่เกิน 500,000 บาท ด้วยเช่นกัน

ซึ่งถือเป็นมาตรการภาษีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ปี 2535 เพราะรัฐบาลขณะนั้นมองว่า มาตรการดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้ และผู้ประกอบการหลายระดับ จะส่งผลให้เกิดการใช้จ่าย และการลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น จะทำให้รัฐมีรายได้มากกว่าที่ขาดหายไป จากการให้สิทธิ์ลดหย่อนต่างๆ

แม้แต่ นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ในวันนั้น ยังต้องยอมรับและชมว่า มาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการที่ดี และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้

แต่ในวันนี้ ในวันที่รัฐบาลเอาเงินงบประมาณ ไปใช้กับนโยบายประชานิยมแล้ว ยังไม่เห็นผลในเรื่องการหมุนทับทวีเพิ่มขึ้นของเงิน (Multiplier Effect)

ในวันที่หากประชาชน ได้รับการคืนเงินภาษีตามสิทธิการลดหย่อนภาษีที่เพิ่มขึ้น ตามประกาศเมื่อเดือนมีนาคม 2551 ก็จะทำให้ประชาชนมีเงินกลับเข้ามาเพิ่มอำนาจซื้อให้ตนเอง สามารถนำเงินภาษีที่คืนมานั้น ไปจับจ่ายใช้สอยได้ ไม่แตกต่างกับมาตรการแจกเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท แต่อย่างใดเลย

แต่กรมสรรพากร ที่อธิบดีวินัยดูแลอยู่ ภายใต้การสั่งการของขุนคลังกรณ์ กลับพยายามยื้อ ที่จะไม่จ่ายคืนภาษี หรือจ่ายคืนให้น้อยที่สุด โดยสร้างความปั่นป่วนให้กับผู้ขอคืนภาษีรายได้ทุกคน ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ไม่ว่าจะหลักร้อยบาท หลักไม่กี่พันบาท หรือหลักหมื่นบาท โดนกันถ้วนหน้า ด้วยการออกเป็นหนังสือราชการกรมสรรพากร ชื่อสวยหรูว่า เป็นหนังสือรายงานความคืบหน้าในการคืนภาษีรายได้ แต่เนื้อหาภายใน ที่แท้จริง คือ การขอให้ยื่นเอกสารเพิ่มเติม ในเรื่องที่ควรเป็นฐานข้อมูลที่มีอยู่แล้วของกรมสรรพากร นั่นคือเรื่องค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ค่าลดหย่อนในการเลี้ยงดูบิดามารดา ค่าลดหย่อนในการลงทุนในกองทุนรวม RMF และ LTF ทั้งๆ ที่บางรายขอเงินคืนภาษีแค่ 100 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งในอดีตของกรมสรรพากร ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย!!!

การจะเรียกขอเอกสารที่ผ่านมา จะต้องเป็นการขอคืนในวงเงินจำนวนมาก ตั้งแต่ 4,000–5,000 บาทขึ้นไป
แต่ครั้งนี้ หลักร้อยบาท ก็ยังเรียกเอกสารเพิ่ม จนผู้ขอคืนภาษีบางคนบอกว่า งั้นก็ทำบุญให้แ_งไปก็แล้วกัน

ซึ่งคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซื้อกองทุน RMF และ LTF ไว้ จะหงุดหงิดมาก เพราะตามนโยบายของรัฐ สนับสนุนเรื่องใช้เป็นกลไกในการขอลดหย่อนภาษี แต่พอมาปีนี้ กลับงอแง

ถามเจ้าหน้าที่สรรพากร ก็อ้ำๆ อึ้งๆ กันไปหมด เท่ากับเป็นการทำลายการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF โดยตรง เลยก็ว่าได้ เพราะถ้ารัฐบาลประชาธิปัตย์บริหารการคลังแบบนี้ต่อไป ใครจะซื้อกองทุนไปทำไม ในเมื่อพอใช้สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีแล้ว กลับไม่ได้ หรือถูกยื้อ

ดังนั้น หากรัฐบาลไม่ได้ถังแตกจริง อย่างที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ให้ความเชื่อมั่นกับประชาชน ก็ควรจะต้องลงมาตรวจสอบดูว่า เกิดอะไรขึ้นกับการคืนภาษีที่ยืดเยื้อ

เป็นคำสั่งของรัฐมนตรี หรือว่าเป็นเรื่องที่อธิบดีกรมสรรพากรดำเนินการเอง หรือเป็นเรื่องของระดับเจ้าหน้าที่ ทำเพื่อเอาใจใคร ถ้าแบบนั้นก็สมควรเรียกข้าราชการกรมสรรพากรมาตำหนิด่วนว่า รู้หรือไม่ว่า การคืนภาษียิ่งเร็ว จะยิ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน ทำให้ผู้มีรายได้ มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และทำให้เกิดกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

หรือว่าต้องใช้แบบที่โบราณสอนกันมานาน โง่แล้วขยัน ต้องเอาไปฆ่าทิ้งเสียให้หมด!!!