WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, May 29, 2009

ส่องกระจกสื่อ นักวิชาการ-นักการเมือง

ที่มา ไทยรัฐ

การประชุม คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อสองวันก่อน มีการแสดงความคิดของกรรมการหลายคน ที่พูดถึง "สื่อนักวิชาการ-นักการเมือง" ว่ามีส่วนสร้างความขัดแย้งขึ้นในบ้านเมือง ผมจึงขอลอกจากหนังสือพิมพ์มาเล่าสู่กันฟังต่ออีกทอด

ผมถือเป็น กระจกสะท้อนสังคมสื่อและการเมืองไทย ที่เป็นอยู่ ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี คนที่เกี่ยวข้องในแวดวงเขามองและคิดอย่างไร

เริ่มจาก คุณคณิน บุญสุวรรณ "ข้อเสนอลดวิวาทะเป็นเพียงรูปธรรม ที่ผ่านมานักการเมืองถูกชี้หน้าว่าเป็นผู้ร้าย โกงเลือกตั้ง แก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง จึงต้องมองให้ชัดว่าใครบ้างที่มีส่วน แม้กระทั่งนักวิชาการ การแสดงความเห็นบางครั้งก็กระเดียดไปในทางใส่ร้าย รวมถึงสื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ"

คุณอรรคพล สรสุชาติ เห็นว่า "การลดวิวาทะจะทำไม่ได้เลย หากไม่พูดกับสื่อชัดๆว่า อะไรควรเป็นข่าว แม้เป็นสิ่งสะท้อนสังคมก็ตาม วิวาทะไม่ได้มีครั้งเดียวจบ

ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์ ไม่มีข่าว แต่ละคนก็สรรหาคำมาตอบโต้กัน เช้าพูด สายโต้ตอบ เย็นวิเคราะห์ ค่ำเชิญนักวิชาการมาผสมโรง รุ่งขึ้นข่าวก็เป็นการยำทั้งหมดรวมกัน ขยายผลต่ออีก สื่อเองก็เอาไมค์ไปจ่อปาก เป็นข่าวปิงปอง ประชาชนก็ดูบางช่วง ไม่ได้ดูบางช่วง เกิดความเบื่อหน่าย ฉะนั้น ต้องลดวิวาทะ ลดทิฐิ ลดอคติ"

คำว่าวิจารณ์สื่อของ คุณอรรคพล ผมคิดว่าสื่อเองก็ควรจะรับฟัง ความจริงข่าวในโลกนี้มีทั้ง "ด้านดี" และ "ด้านไม่ดี" คู่กันไป ถ้าสื่อทุกสื่อมีการเสนอข่าวใน "ด้านดี" ให้ "โดดเด่น" กว่าข่าว "ด้านไม่ดี" ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากจะทำดี ผมคิดว่าจะช่วยให้สังคมไทยดีขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน

มาฟังนักการเมืองพูดถึงนักการเมืองด้วยกันต่อครับ เป็นความเห็นของ คุณเสนาะ เทียนทอง แห่งวังน้ำเย็น เกจิการเมืองรุ่นเก๋าคนหนึ่ง

"วิวาทะไม่ได้สร้างความแตกแยกประชาชนมากนัก เหตุที่เกิดขึ้น อย่ามาโยนแต่นักการเมือง นักการเมืองเล่นการเมืองตามระบบ แต่ก็ถูกดูหมิ่น

ยอมรับว่าวิวัฒนาการทางการเมืองในขณะนี้ เปลี่ยนจากจารีต ประเพณีที่ทำให้ประชาชนเคารพนักการเมือง เดิมคำว่า ผู้แทนราษฎร ไปที่ไหนสง่างาม ภูมิใจในตัวเองและวงศ์กระกูล แต่ต่อมามีการโจมตีว่า ซื้อเสียง เดิมรัฐมนตรีสง่างาม แต่เดี๋ยวนี้ รัฐมนตรีชื่ออะไร หน้าเป็นอย่างไร ประชาชนยังไม่รู้จัก นี่คือปัญหา

เมื่อก่อนทางการเมือง ไม่ได้มดเท็จใส่ร้ายป้ายสีจนเกินเหตุ แต่เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือเยอะแยะ ใครพูดทำอะไรไปขัดผลประโยชน์ของตัวเอง ก็จะใช้มือที่สองมือที่สามไปกล่าวหา เดี๋ยวนี้มีนักวิชาการรับจ้างไปออกรายการ พูดเหน็บแนม

ที่สำคัญ ตอนนี้ "พรรคการเมือง" เป็น "แก๊งการเมือง" ซื้อผู้แทนเลย แล้วมาตั้งเป็นแก๊งเป็นกลุ่มเป็นฝ่าย มีการส่งนอมินี เข้ามาเป็นผู้แทน เข้ามาเป็นรัฐมนตรี มาจัดสรรผลประโยชน์ รัฐบาลก็ต้องมีเสียง จึงเกิดปรากฏการณ์ว่า ใครจะเอาอะไรก็ได้ ผมคิดว่าต้องหาทางจัดรัฐบาล ไล่กุ๊ยการเมืองไปให้ได้ ทำได้ปัญหาจบเลย

ผมจึงบอกว่า จับมือกันทุกฝ่ายได้หรือไม่ เป็นสมัชชากันทุกฝ่าย สร้างความมั่นใจ แต่นี่ไม่ทำกัน ผู้ใหญ่ทั้งนั้น ยังเล่นแง่เล่นมุมกัน"

เป็นยังไงครับ ฟัง "ป๋าเหนาะ" นักการเมืองรุ่นเก๋าพูดถึงนักการเมืองไทยด้วยกันในวันนี้ ถ้าจะ "โทษสื่อ โทษนักวิชาการ" ผมคิดว่านั่นคือ "ปลายเหตุ" แต่ "ตัวต้นเหตุ" ที่ทำให้สื่อและนักวิชาการ เป็นไปอย่างที่นักการเมืองพูดก็คือ "ตัวนักการเมือง" ที่ "ป๋าเหนาะ" พูดถึงนั่นแหละ ถ้า "ไล่กุ๊ยการเมือง" ออกไปจากการเมืองไทยได้ ความเลวร้ายทุกอย่างก็จบหมด ผมก็เชื่ออย่างนั้น.

"ลม เปลี่ยนทิศ"