นายกิตติชัย แข็งขัน
ชาวบ้าน 3 คนที่ถูกลูกหลงในเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารส่งกำลังเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุมของจากกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 บอกเล่านาทีถูกกระสุนพุ่งเข้าใส่จนต้องหามส่งโรงพยาบาล 1 รายสูญเสียตามองไม่เห็นทั้งสองข้างกระสุนยังคาอยู่ใต้ตา
อีกรายหนึ่งรอดมาจากกระสุนถล่มยิงวัดปทุมวนารามฯเล่านาทีหลบอยู่ใต้ท้องรถกระสุนเข้าที่หลังและมือ
และรายสุดท้ายรอดชีวิตมาได้หวุดหวิดจากกระสุนที่ทะลุกะโหลกคนข้างๆมาปักที่ต้นคอเฉียดเส้นเลือด
ที่ชั้น 9 โรงพยาบาลกลางในห้องพักผู้ป่วยชายมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์กระชับพื้นที่เข้ารักษาตัว 4 ราย ชายวัย 40 ปี นายกิตติชัย แข็งขัน ชาวขอนแก่นถูกเข็นไปล้างแผลตั้งแต่บ่ายโมงกลับมาอีกทีตอนบ่าย 4 โมง ด้วยสภาพอิดโรยบอกกับผู้สื่อข่าวว่าเหนื่อยหน้ามืดคุยไม่ไหวแต่ยังแข็งใจตอบคำถาม
"ผมพูดในสิ่งที่ตัวเองประสบมาเห็นมากับตาถ้าไม่เห็นแบบนี้ก็พูดไม่ได้" คำตอบจากนายนายกิตติชัย ในฐานะชาวบ้านคนหนึ่งไม่ใช่ผู้มาร่วมชุมนุมแต่มาทำงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ช่วยหลานเดินสายไฟฟ้าใน สตช. แต่จะแวะเวียนไปร่วมกินข้าวกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงชาวขอนแก่นในฐานะคนบ้านเดียวกันไม่คิดว่าจะถูกยิงปางตายเช่นนี้
นายกิตติชัย นอนซมอยู่บนเตียงคนป่วยโดยมีผ้าพันแผลติดอยู่ที่ด้านหลังเหนือเอวขึ้นมาและบริเวณมือขวา มีสายน้ำเกลือโยงไปที่แขน นอนหายใจเหนื่อยหอบอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรยนอนหงายไม่ได้ เล่าถึงนาทีที่ถูกยิงบาดเจ็บว่า ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม หลังจากที่ผมออกมาจาก สตช.เพื่อไปหาผู้ชุมนุมชาวขอนแก่นตามปกติเพราะคิดว่าแกนนำได้มอบตัวหมดแล้ว จึงคิดว่าเหตุการณ์น่าจะสงบแล้ว แต่พอไปถึงถูกไล่มาเรื่อยๆจากแยกศาลาแดงมาจนถึงแยกราชประสงค์ การ์ดเสื้อแดงบอกให้วิ่งเข้าไปหลบในวัดจะปลอดภัยที่สุดผู้คนแตกกระจายวิ่งหลบเข้าไปในวัดปทุมฯบ้าง สตช.บ้าง
"ผมมาจากทางศาลาแดงมาเป็นกลุ่มสุดท้ายพอดีกับเวทีสลายหมดแล้ว การ์ดก็ให้วิ่งเข้าไปในวัด พอไปถึงผมก็พักผ่อนนอนเล่นกันอยู่ตั้งนานถึงได้ยินเสียงปืนดังมาอีก จึงเข้าไปหลบใต้ท้องรถ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบ 1 ทุ่ม เขายืนอยู่บนทางรถไฟฟ้ายิงเข้ามาในวัดต่างคนต่างหลบกัน ผมโดนยิงข้างหลังกับมือ พวกเราไปหลบอยู่ใต้ท้องรถ 5-6 คน
ตอนที่ผมโดนยิงทหารก็ให้ออกมาจากใต้ท้องรถ เขายิงมาจากบนสะพานรถไฟฟ้า ผงกหัวขึ้นไม่ได้เลย พอโดนลูกปืน มันร้องให้ออกมา แต่ไม่มีใครออกไป พอผมโดนยิง ผมบอกว่ายอมแล้วๆมันก็ยิงใส่มืออีก มันโกหกบอกให้ออกมายิง แต่ผมไม่ไหวแล้วเลือดออกเยอะ พอออกมามันบอกให้ผมถอดเสื้อออกแล้วยกมือขึ้น แล้ววิ่งไป ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลทำแผลให้ ผมยืนหันหน้าเห็นทหารเขาเล็งมาใส่ผม แต่ตอนนั้นเขาไม่ยิงใส่แล้ว เพราะเห็นว่าผมถูกยิง บอกให้ถอดเสื้อ ยกมือขึ้น ผมก็ยกมือขึ้นสองข้างแล้วก็วิ่งไปเลย" นายกิตติชัยกล่าวและยืนยันอีกครั้งว่า
"ผมเห็นเขายิง ผมยืนยันไม่มีใครหรอกนอกจากทหารใส่ชุดพรางใส่หมวก เขาก็ตะโกนให้ผมออก ผมก็ตะโกนออกแล้วครับ ผมก็บอกยอมแล้วครับเห็นยืนเล็งใส่ผมอยู่ ถ้ามันยิงตอนผมถอดเสื้อคงตายแล้ว แต่มันก็บอกให้ผมวิ่ง ผมก็วิ่งไปหาพยาบาลไปอ่อนแรงตรงนั้น พอทำแผลใกล้เสร็จห้ามเลือดเขาก็ยิงมาใส่หลายนัด โดนฝรั่งที่กำลังถ่ายรูปผมอยู่ จากนั้นผมก็สลบไปเลย"
นายกิตติชัย กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "ผมนอนเจ็บอยู่หลายชั่วโมงทหารไม่ให้ออกมา ไม่ให้รถพยาบาลเข้าไปเอาออกมาด้วย ผมสลบอยู่หลายรอบเพราะเสียเลือดมากกว่าจะมาถึงโรงพยาบาล 5 ทุ่มแล้วถูกยิงตั้งแต่ 6 โมงเย็น พยาบาลที่ไปนำตัวผมออกมาจากในวัดต้องหามออกมาใส่รถด้านนอกเพราะไม่ให้เอารถเข้าไปรับ"
นายกิตติชัย กล่าวอีกว่า เพื่อนที่หมอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันมาเยี่ยมบอกว่า มีคนที่แอบอยู่ใต้ท้องรถด้วยกันถูกยิงเสียชีวิต และยิงมาจากสะพานรถไฟฟ้า มีคนไม่น้อยๆไปหลบในวัดประมาณ 4-5 พันคน บางคนวิ่งไปที่โรงพยาบาลตำรวจบางคนวิ่งเข้าไปหลบในวัดก็นึกว่ารอดแล้วแต่ก็ยังโดนจนได้ในวัดที่คิดว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
"เสียใจกับผู้ชุมนุมเหมือนกันคงจะเจ็บเหมือนกัน ขนาดผมโดนแค่นี้ยังเจ็บ คนที่ไม่ไหวเขาคงโดนหนักกว่าผม สลบในวัด 2-3 รอบกว่าจะมาถึงนี่" นายกิตติชัยกล่าว
ทางด้านนายเสกสิทธิ์ ช้างทอง อายุ 28 ปี มีอาชีพขับรถจักรยานยนต์รับจ้างประจำอยู่แถวโพผธิ์สามต้นมีคนจ้างให้มาส่งที่พรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 19 พ.ค. เวลาประมาณ 10.00 น. ถูกกระสุนปืนยิงเข้าที่ใต้ตาซ้ายทะลุตาขวาตัดเส้นประสาททำให้ตาบอดทั้งสองข้างเล่านาทีก่อนทุกอย่างรอบกายจะมืดสนิทว่า
"เสียงปืนดังไม่หยุด ยิงมาเป็นชุดๆ ต้นไม้ กิ่งไหม้ข้างถนนปลิว กิ่งไม้ร่วง เห็นว่ายิงมาจากทางยกระดับจากข้างบน แค่นั้นก็กลัวแล้ว นั่งอยู่กับที่ จังหวะนั้นก็หันซ้ายหันขวาหาทางหนี แต่ก็ไม่ทันกระสุนกระแทกเข้าตา พยายามลืมตาอีกข้างแต่ลืมไม่ได้ หลังจากนั้นก็ลืมไม่ได้อีกเลย ลืมได้ก็มองไม่เห็น จึงยกมือบอกให้ช่วยและนำมาส่งที่โรงพยาบาล"
นายเสกสิทธิ์ กล่าวถึงเหตุการณ์วันนั้นทีไรยังผวาจนถึงทุกวันนี้ว่า เสียงปืนสนั่นรอบด้านเป็นอะไรที่ผวาได้ทุกวันนี้ ได้ยินเสียงของหล่นตอนกลางคืนนอนหลับอยู่ลุกขึ้นมานั่งได้ง่ายๆ 1-2 วันแรกเป็นแบบนั้นแต่ตอนนี้ดีขึ้น
"จังหวะที่ประชาชนขนยางมาทำเป็นบังเกอร์ทหารจึงเริ่มยิงสนั่นหวั่นไหว เป็นภาพที่ติดตาจนถึงตอนนี้" นายเสกสิทธิ์ย้ำอีกครั้ง
"หมอบอกว่า โดนยิงที่ตาข้างซ้ายไปตุงที่ตาข้างขวา ทำลายเส้นประสาทตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น" นายเสกสิทธิ์บอกเล่าอย่างสิ้นหวังก่อนจะเล่าต่อถึงสาเหตุที่ต้องสูญเสียดวงตา
"ตรงนั้นมีคนมามุงเยอะ ผมก็จอดดูแล้วก็มีเสียงปืนดังเป็นชุดๆ แล้วก็มาเข้าที่หน้าผม 1 นัด ดังมาจากทางฝั่งทหารเพราะตอนที่ผมส่งลูกค้าก็เข้าไปข้างในพื้นที่ชุมนุมไม่ได้ คนก็มาออกันอยู่ตรงนั้นเผชิญหน้ากับทหารมีประชาชนมาเยอะเต็มสองฝั่งเหมือนปิดถนน มีประชาชนโห่ไล่ทหาร มีคนกลุ่มหนึ่งเอายางมากั้นทำเป็นบังเกอร์ จากนั้นทหารยิงปืนขึ้นฟ้าไปตกตรงไหนไม่รู้แต่มาตกใส่ตาผมนัดหนึ่งกระสุนมาจากทางทหาร" นายเสกสิทธิ์กล่าวยืนยันวิถีกระสุนที่พุ่งเข้ามาทำลายประสาทตา
แม้นายเสกสิทธิ์ ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไปเขายังหวังจะกลับมามองเห็นอีกครั้งเพื่อทำมาหากินเลี้ยงลูกและเมียได้ตามเดิม เพราะเขาคือหัวหน้าครอบครัวที่ขับรถรับจ้างเพื่อแลกเงิน แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้วเขายังคงเป็นห่วงลูกชายที่เพิ่งจะเข้าเรียนชั้น ป.1 และบ้านที่ผ่อนไปได้แค่เดือนแรก แล้วลูกกับเมียจะทำอย่างไรต่อไปหากเขาต้องมาสูญเสียดวงตาไป
"ผมก็มั่นใจว่าผมจะมองเห็นอีกครั้งลูกเมียผมกำลังรออยู่ ขอให้ผมหายเหมือนเดิม ขอให้ไปหาเงินผ่อนบ้านเลี้ยงลูกเหมือนเดิม ถ้าผมไม่หายขอให้ลูกเมียผมได้อยู่อย่างที่ผมหวังไว้เท่านั้นเอง" เสียงความหวังปนกับคำร้องขอจากนายเสกสิทธิ์ที่เขาเองก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ไปดีกว่าการให้กำลังใจตนเอง แม้หมอจะบอกว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะมองเห็นหากผ่าก็อันตรายเสี่ยงที่จะติดเชื้อและน็อคไปเลย ทางที่ดีที่สุดคือปล่อยไว้อย่างนี้ดีกว่า
ความช่วยเหลือที่เป็นความหวังเดียวจากชายตาบอดผู้นี้คือหวังจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วอย่างน้อยก็ช่วยให้ลูกชายได้เรียนต่อและภรรยาของเขาได้มีที่พักอาศัย ส่วนตัวเขาเองก็ก้มหน้ารับอยู่ในโลกมืดต่อไป
"ที่ไปไม่คิดว่าจะเจอกับตัววเอง ไม่ได้ตั้งใจจะโดนกับตัวเอง แต่จะไปหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่ชะตากรรมมันเลี่ยงไม่ได้ "
นายภัสพล ไชยพงษ์ อายุ 40 ปี พ่อค้าใส่เสื้อสีดำเข้าไปขายของในพื้นที่ชุมนุมกลายเป็นอาสาสมัครขับรถมอเตอร์ไซต์เปิดทางส่งคนเจ็บไปรักษาพยาบาลเล่านาทีรอดชีวิตหวิดหวิดจากกระสุนปืนไม่ทราบทิศทางพุ่งมาเจาะกะโหลกคนข้างๆล้มทับกระสุนทะลุเข้าที่ต้นคอของเขาและกระสุนนัดนั้นต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตเพราะแพทย์ไม่แนะนำให้ผ่าออกเนื่องจากมันเฉียดกับเส้นเลือดดำไปนิดเดียว
"ผมขับมอไซต์เอาของไปเก็บไม่ได้ขายของวันนั้นไปเก็บที่สยาม แล้วจังหวะนั้นมีคนโดนยิงมูลนิธิขออาสาให้ผมขับรถเปิดทางขับไปช่วยคนเจ็บได้ 3 เที่ยว กำลังยืนคุยกันอยู่สักพักมีเสียงเปรียะดังขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งโดนยิงหัวทะลุท้ายทอยมาล้มทับผมกระสุนทะลุมาเจาะคอผมต่อไม่ทราบว่าใครยิงเห็นหทารกับรถถังอยู่ลิบๆ ที่เข้ามาทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ตอนนั้นได้ยินแต่เสียงกระสุนมากระทบหนังเรา ชาไปหมด พอคลำดูมีเลือดไหลออกมาจึงรู้ว่าถูกยิง"