ที่มา ข่าวสด
ตกเป็น 1 ในผู้ต้องหาตามพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือ "อาจารย์ยิ้ม" ของวงวิชาการ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เข้ามอบตัว ก่อนตกเป็นข่าวดังเมื่อประกาศอดข้าวประท้วง เพราะรับไม่ได้ที่ถูกละเมิดเสรีภาพทางวิชาการ
เปิดใจหลังได้รับอิสรภาพ ไม่ได้เป็นแกนนำคนเสื้อแดงอย่างที่ถูกกล่าวหา และเชื่อมั่นว่าหากนายกฯ ไม่ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงก็จะไม่มีวันสมบูรณ์
ศอฉ.ควบคุมตัวดำเนินคดีข้อหาอะไร
คดีที่ผมโดนตอนนี้ คือเรื่องการชุมนุมในที่สาธารณะเกิน 5 คน ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนคดีเก่าที่ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำนปช.รุ่น 2 ที่ชุมนุมทางการเมืองทำให้เกิดความวุ่นวาย ถือว่าจบไปแล้ว
ช่วงที่ถูกคุมตัวอยู่ในค่ายอดิศร ทั่วไปถือว่าดี เจ้าหน้าที่ทหารพยายามดูแลดี จัดแพทย์มาตรวจสุขภาพอยู่เสมอทั้งเช้าเย็น เพียงแต่เรารู้สึกไม่สบายใจเวลาถูกควบคุมตัว เพราะเราขาดอิสรภาพ
ที่สำคัญ ตามระเบียบตรงนี้ห้ามการสื่อสาร เราโดนเก็บโทรศัพท์มือถือ การสื่อสารกับคนภายนอกต้องผ่านเจ้าหน้าที่ นาฬิกาถูกยึด เราไม่รู้เวลา อาศัยสังเกตพระอาทิตย์
มีข่าวว่าถูกห้ามอ่านตำราด้วย
วันที่ผมถูกจับวันแรก ผมเอาหนังสือไปด้วย พออ่านไปได้หนึ่งวัน ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าศอฉ.ขอตรวจหนังสือว่าผมมีหนังสืออะไรอ่านบ้าง แล้วเอาหนังสือผมไป จากนั้นผ่านไป 24 ชั่วโมง เช้าวันรุ่งขึ้นผมยังไม่ได้หนังสือคืน ผมเลยตัดสินใจว่าถ้าเป็นเช่นนี้ จึงบอกเจ้าหน้าที่ว่าผมจะขอไม่ทานข้าว จนกว่าจะได้หนังสือคืน
หลังจากผมขออนุญาตไม่ทานข้าว 8 ชั่วโมง ผมก็ได้หนังสือคืน ผมก็เลิก
เป็นหนังสือต้องห้ามหรือไม่
ไม่เลย เป็นตำราที่ผมจะใช้อ่านเพื่อเตรียมการเรียนการสอน อาทิ หนังสือปรัชญาประวัติศาสตร์ ที่เป็นหนังสือทางการเมืองก็มีหนังสือประวัติศาสตร์ "แผนชิงชาติไทย" ที่ผมเขียนเอง ไม่มีหนังสือที่เป็นภัย เพียงแต่ศอฉ.ต้องการเท่านั้น โดยรวมทุกอย่างไม่มีอะไร ยกเว้นเรื่องควบคุมตัว ตัดการติดต่อสื่อสาร ซึ่งผมถูกควบคุมตัวอยู่ 8 วัน
เรื่องคดีถือว่าจบ
คดีนี้หมดแล้ว มีเรื่องชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนอย่างเดียว ตำรวจได้แจ้งข้อหาแล้ว ก็ต้องมีการสอบสวนอีกที ทางเรามีสิทธิ์ตั้งทนายขึ้นมาต่อสู้คดีตามปกติ หากตำรวจเห็นว่าคดีมีมูลควรฟ้อง เสนอให้อัยการยื่นฟ้องต่อไป
ถูกสอบสวนอย่างไร
ศอฉ.ส่งตำรวจมา ก็ไม่เชิงสอบสวน แต่เขาบอกว่าเป็นการพูดคุยมากกว่า ตำรวจถามบางเรื่อง โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับคุณดา ตอร์ปิโด อีกเรื่องคือความเกี่ยวพันกับนปช. ความเกี่ยวข้องกับคุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข
ผมชี้แจงไปแล้วว่าผมไม่ได้เกี่ยวข้องนปช. ไม่ได้เป็นแกนนำ ที่กล่าวหาผมเป็นแกนนำรุ่น 2 เป็นไปไม่ได้เลย ผมไม่มีศักยภาพที่จะจัดการชุมนุมสร้างความวุ่นวายได้เลย
ยิ่งกว่านั้นถ้าผมจะสู้ ผมจะสู้ในกรอบสันติวิธี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะไปสู้ ผมคิดว่าเขาจับผิดตัว ผมไม่ใช่แกนนำ ผมให้การไปว่าไม่ใช่ผม คงจับผิดตัวแน่
บทบาทที่เกี่ยวข้องเสื้อแดง
ไม่มี ผมไม่เคยเป็นบ.ก.หนังสือ ผมเขียนบทความลงผมก็ได้เงิน ถือเป็นงานอาชีพ ถ้าไม่ได้เงินผมก็ไม่เขียน เพราะไม่มีเวลาไปร่วมจัดทำอะไร งานที่มหาวิทยาลัยก็มาก ลูกผมยังเด็กมาก ตอนนี้ 7 ขวบ ผมกับภรรยาต้องผลัดกันดูแล จึงไม่อยู่ในฐานะหรือมีเวลาไปทำอย่างอื่น
ประเมินวันนี้เสื้อแดงถือว่าแพ้หรือยัง
วันนี้ไม่ถือว่าแพ้ อย่างมากก็เพลี่ยงพล้ำชั่วคราว เพราะกระบวนการของเสื้อแดงคือประชาธิปไตย ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย คนเสื้อแดงไม่ตาย ยังอยู่ เป้าหมายยังไม่บรรลุก็คงไม่ไปไหน
แต่การจะกลับมา ผมคิดว่าต้องคอยอีกระยะหนึ่ง ผมไม่เห็นด้วยที่จะมาทำอะไรตอนนี้ เพราะมันเสียหาย ซึ่งเป้าหมายการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมันไม่ปิด บ้านเมืองไทยจะต้องเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ผมยืนยันว่าไม่ยุติ แต่การต่อสู้ต้องระมัดระวังมากขึ้นกว่านี้
มองวิถีการต่อสู้ของเสื้อแดงอย่างไร
การต่อสู้เท่าที่ผ่านมา ถ้าเป็นผม ผมจะหยุดตั้งแต่นายกฯ เสนอแผนปรองดอง แล้วพี่วีระ(มุสิกพงศ์) ก็รับไว้แล้ว ถ้าเป็นผม อยากหยุดหรือหาทางลงตรงนั้น คงไม่ปล่อยให้เกิดการชุมนุมยืดเยื้อต่อมา
แต่ผมไปกำหนดไม่ได้ เป็นเครื่องชี้อย่างหนึ่งว่าผมไม่ได้เป็นแกนนำ ถ้าผมกำหนดได้ ผมจะเลิกพร้อมพี่วีระ
จุดเพลี่ยงพล้ำเสื้อแดง เพราะแกนนำฮาร์ดคอร์ไม่ยอมลงใช่หรือไม่
เท่าที่ทราบ คล้ายอย่างนั้น แต่ผมไม่ยืนยันเพราะไม่มีเวลาเช็กข้อมูลแล้วผมมาโดนเองอีก แต่มีกระแสข่าวคล้ายอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่าเป็นจุดพลิกผันของสถานการณ์หรือไม่ ผมถูกคุมตัว ไม่รู้อะไรเลย ขนาดบอกจะปล่อยตัว ผมยังไม่แน่ใจว่าปล่อยจริงหรือจะเอาไปขังที่อื่น ตอนนั้นมันเบลอ
มองอย่างไรที่แกนนำต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม
ผมคิดว่ากระบวนการทั้งหมด เป็นกระบวนการทางการเมืองมากกว่ากระบวนการยุติธรรม แกนนำนปช.ส่วนหนึ่งโดนจับกุม ถ้ามองการปฏิบัติการฟื้นเสื้อแดง ทำได้ไม่ง่ายนัก ไม่ว่าจะฟื้นง่ายหรือฟื้นยาก เร็วหรือช้า ผมคิดว่ากระบวนการประชาธิปไตยต้องคงอยู่ ประเทศนี้ต้องก้าวไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแน่นอน แต่ผมขอรัฐบาลอย่างเดียว ขอให้เลิกใช้นโยบายความรุนแรงกับประชาชนอย่างที่ผ่านมา มันไม่ถูกต้องที่จะต้องเสียชีวิตไม่ว่าทหารหรือประชาชน ผมไม่เห็นด้วยเพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
ผมคิดว่าทหาร กองทัพ รัฐบาล เป็นด้านหลักที่ต้องเลิกใช้วิธีแบบนี้ ต้องแก้ปัญหากับประชาชนโดยสันติวิธีจะดีกว่าเยอะ และบาดแผลจะไม่ลึกด้วย การใช้วิธีที่ผ่านมา บาดแผลมันลึก
ในฐานะเคยอยู่ในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 มองสถาน การณ์เม.ย.-พ.ค.2553 อย่างไร
ผมอยู่ในขบวนการนักศึกษา วันที่นักศึกษาถูกปราบปราม ผมหนีเข้าป่า มองเหตุการณ์วันนี้คล้ายกับการปราบปรามช่วง 6 ต.ค.2519 มาก หรือจะต่างก็ไม่ต่างกันมาก แต่สิ่งที่ผมไม่ยอมรับเหมือนกันเลย คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น การกวาดล้าง การเข่นฆ่า สังหารประชาชนตายเป็นร้อยคน ซึ่งต้องอาศัยเวลาอีกสักพักในการฟื้นตัว ผมไม่ต้องการโต้แย้ง แต่ไม่อยากให้มีใครตาย อยากให้แก้ปัญหาโดยสันติวิธี
มองอนาคตการเมืองไทยจากนี้เป็นอย่างไร
เสื้อแดงต้องใช้เวลาสรุปบทเรียน ใช้เวลาฟื้นตัวอีกระยะ จริงๆ สิ่งที่ผมอยากเสนอกับฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายชนชั้นนำมากกว่า คือ รีบแปรเปลี่ยนประเทศให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็วดีกว่า เพราะประชาธิปไตยที่สมบูรณ์จะแก้ปัญหาได้สารพัด เป็นยาแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ตราบใดที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย ปัญหาก็ไม่จบ
การกลับไปเป็นประชาธิปไตยต้องทำอย่างไร
ต้องยุบสภา เลือกตั้งใหม่คืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เสียหาย และทำได้ในระบอบประชาธิป ไตย นอกจากเราจะไม่ใช้ระบอบประชาธิปไตย เราจะใช้ระบอบอื่น เมื่อใช้ระบอบประชาธิปไตย การยุบสภาถือเป็นเรื่องธรรมดา
หากยุบสภาเลือกตั้งใหม่ คนเสื้อแดงก็หมดหน้าที่
หากมีเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยคงชนะ บทบาทเสื้อแดงคงไม่มีอะไร เพราะรัฐบาลคงเข้ามาปฏิรูปประเทศ มีมาตรการให้เป็นประชาธิปไตย หรือหากมีมาตรการอะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มาว่ากันอีกที แต่ผมคิดว่าน่าเป็นประชาธิปไตย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ (ชินวัตร) มีบทเรียน
บทบาทอาจารย์กับเสื้อแดงจากนี้ไป
ผมไม่ได้มีบทบาทอะไรกับเสื้อแดง ที่ผ่านมาผมเป็นนักวิชาการ ทำงานด้านวิชาการ ผมไม่ใช่นักเคลื่อนไหว ผมยืน ยันเสมอว่าผมเป็นแกนนำไม่ได้ และไม่เคยเป็นแกนนำนปช. เพราะไฮด์ปาร์กไม่เป็น งานเยอะมาก ทั้งงานมหา วิทยาลัย งานส่วนตัว แกนนำต้องอุทิศตัวอยู่กับมวลชน ผมทำไม่ได้ แต่ถ้าให้ผมช่วยเหลือ ให้กำลังใจพอไหว เพราะนักวิชาการต้องทำงานวิชาการ
ยุคนี้มีการคุกคามนักวิชาการมาก
ผมมองว่าเป็นการคุกคาม เพราะก่อนหน้าผม ไม่มีนักวิชาการโดนข้อหาทางการเมืองเลย ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา มีอาจารย์ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์ โดนเป็นคนสุดท้าย
นักวิชาการถูกกระทบไปด้วยในสถานการณ์อย่างนี้ น่าจะมีระบบไม่ให้มีการคุกคามนักวิชาการ ถ้าทำได้ผมก็อนุโมทนา
มีชื่ออยู่ในผังล้มเจ้าของศอฉ.
มีสื่อฉบับหนึ่ง พยายามโจมตีใส่ร้ายผมมาตลอดแล้วศอฉ.ไปเชื่อข้อมูลนั้น ตอนที่ตำรวจมาคุยกับผม ผมเสนอไปแล้วว่ากลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่ยุแยงตะแคงรั่ว ชอบหาเรื่องว่าคนโน้นล้มเจ้าคนนี้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ฉะนั้น ถ้าต้องการสมานฉันท์ ปรองดอง สันติ ต้องปิดสื่อที่ว่านี้ ถึงจะปรองดองสมานฉันท์ สันติภาพได้
เพื่อไทย
Friday, June 4, 2010
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ "ผมเป็นนักวิชาการ ไม่ใช่แกนนำนปช."
สัมภาษณ์พิเศษ