ที่มา บางกอกทูเดย์ การเกาะเกี่ยว จับมือกัน ด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า คงเป็นได้เพียงความสัมพันธ์ที่เปราะบางเท่านั้น ยิ่งหากเจอความสัมพันธ์ประเภท จ้องหาผลประโยชน์ใส่ตัว จ้องเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น หรือแม้กระจ้องเอาภาพลักษณ์ของอีกฝ่ายมาเป็นยาฟอกขาวให้สังคมเลิกยี้เลิกส่ายหน้า สุดท้ายเมื่อผลประโยชน์ขัดกันก็ยากจะไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นแน่ วันนี้แม้ผลการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล อีก 5 คนของพรรคฝ่ายค้าน แม้ว่าจะไม่สามารถชนะโหวตได้ เพราะมีเสียงน้อยกว่า แต่ก็สามารถ สร้างแรงกระเพื่อมได้เต็มๆ 3 ดอก ดอกแรก ก็คือ ความรู้สึกของสังคม ความรู้สึกของประชาชน จากที่ได้รับฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากฝ่ายค้าน หลังจากที่ต้องทนรับรู้แต่ข้อมูลของ ศอฉ. ผ่านทางช่องหอยม่วงเป้นหลักมาระยะหนึ่ง การอภิปรายจึงเป็นเหมือนการเปิดโลกอีกด้าน พลิกเหรียญอีกด้านขึ้นมาให้เห็น... ซึ่งบางกอก ทูเดย์ ก็ได้พร่ำติงเตือน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯมาตลอดว่า อะไรที่ยิ่งปิดๆบังๆคนยิ่งอยากดูอยากรู้ และในวันที่ได้รู้ความจริง ก็ให้ระวังไว้ว่า ความรู้สึกมันจะพลิกผัน ส่วนดอกที่ 2 ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ก็จะอยู่ในอาการพะอืดพะอม เนื่องจากตลอดมาจะเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ถือเป็นคีย์แมนหลักในการดับเครื่องชนกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ไปจนกระทั่งเกิดการสลายการชุมนุม ซึ่งหากสังเกตุให้ดีให้ลึกๆ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ควรจะเห็นอาการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่เล่นบท...เชียร์เสียงดัง หน้าแดง แต่แรงไม่ออก...คอยอยู่แต่ข้างหลัง ปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ไปตายเอาดาบหน้าเพียงลำพังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักการเมืองรุ่นเก๋าอย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้กุมกลไกพรรคชาติไทยพัฒนาตัวจริงนั้น พลิ้ว เต้น ติ๊ดชึ่ง ไม่ได้ดาหน้าเข้าลุยคนเสื้อแดงเหมือนกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพเลยสักนิด พรรคร่วมรัฐบาลก็เลยไม่โดนข้อหามือเปื้อนเลือดเหมือนที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพโดนกระหน่ำ นายบรรหาร โดนด่าก็แค่ว่า ปลาไหลอีกแล้ว... ซึ่งก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนหรือเปลืองตัวอะไรเพราะสังคมนั้นรู้อยู่แล้วว่า นายบรรหารนั้น “ปลาไหลตัวพ่อ”อยู่แล้ว สำหรับดอกที่ 3 ที่รุนแรงที่สุดก็คือ ผลคะแนนโหวตที่ออกมาแบบไม่รักษาหน้ารัฐบาลเลยสักนิด เพราะถ้านับรวมจำนวนคะแนนของรัฐบาลทั้งหมด ก็คือ 275 เสียง แต่สูงสุดที่ได้คะแนนก็คือนายอภิสิทธิ์ ที่ได้ 246 เสียง น้อยที่สุดก็คือ นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้แค่ 234 เสียง ยังดีนะว่า ไม่ได้นับกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งสภาที่มีอยู่ 475 เสียง ซึ่งจะต้องหมายถึง 238 เสียง แต่ว่านับกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ที่เข้าประชุม นายโสภณ กับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงรอดเฉียดฉิว เช่นเดียวกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ได้ 239 เสียงก็ผ่านแบบหวุดหวิดเหมือนกัน แต่ผลคะแนนเช่นนี้แหละที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลมองหน้ากันไม่ติดทันที เพราะคะแนนสนับสนุนหายยังไม่เท่าไหร่ แต่คะแนนไม่ไว้วางใจยังเพิ่มขึ้นด้วยนี่สิ ทั้งนายโสภณ นายชวรัตน์ และนายกษิต แทบจะเอาหน้าตั้งบนบ่าโดยไม่ต้องหาอะไรมาบิดๆบังๆได้ลำบาก ก็คะแนนไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ คือ 186 เสียง นายสุเทพ ไม่ไว้วางใจ 187 เสียง แต่นายกษิต โดนไม่ไว้วางใน 190 เสียง ในขณะที่นายชวรัตน์ ถูกไม่ไว้วางใจ 194 เสียง ยิ่งนายโสภณออกทะเลเลย เพราะเสียงไม่ไว้วางใจมีมากถึง 196 เสียง นี่รักษาหน้ากันโดยไม่บวกคะแนนงดออกเสียง และไม่ลงคะแนนเสียงแล้วนะ ไม่งั้นคงได้หน้าชากันมากกว่านี้อีก คะแนนแบบนี้ไม่แปลกที่ พรรคภูมิใจไทย ที่มีนายชวรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค และมีนายเนวิน ชิดชอบ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” ทำหน้าที่เป็นซีอีโอตัวจริงที่ตัดสินใจในทุกเรื่อง แม้ว่าจะถูกศาลสั่งให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ก็ตาม... ต่างพากันเต้นเร่าๆด้วยความคั่งแค้น ยิ่งพบว่า คะแนนที่ฉีกหน้าภูมิใจไทยให้สังคมได้รับรู้ครั้งนี้ มาจากพรรคเพื่อแผ่นดิน เพราะส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน ลงคะแนนไม่ไว้วางใจนายโสภณ ถึง 14 เสียง และไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ 10 เสียง คะแนนโหล่เปรตอย่างนายโสภณ ย่อมต้องแค้นจัด ออกมาซัดเต็มๆว่า “ขาดมารยาท” แถมยังขู่ด้วยว่า จากนี้ไปการทำงานร่วมกันในรัฐบาล แม้ทำได้ แต่คงไม่ราบรื่น... ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน ที่สำคัญทั้งนายเนวิน กับนายชวรัตน์ถึงกับออกมาขีดเส้นตาย 1 สัปดาห์ ให้นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจเลือกระหว่าง พรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อแผ่นดิน... ประกาศชัดกันแบบสิ้นเยื่อใย จะไม่สิ้นเยื่อใยได้อย่างไร เพราะนอกจากจะลงคะแนนไม่ไว้วางใจกันแล้ว พรรคเพื่อแผ่นดินยังมีความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ ควรจะดึงเอากระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม ออกมาจากการกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทยด้วย เป็นข้อเสนอทุบหม้อข้าว เผาอู่ข้าวอู่น้ำกันแบบซึ่งๆหน้า จะไม่ให้นายเนวิน และพรรคภูมิใจไทยแค้นจนกระอักเลือดได้อย่างไร ถึงขนาดรู้สึกว่า ฟ้าอุตส่าห์ส่งให้นายเนวินมากอดเอวนายอภิสิทธิ์กลับมามีบารมีทางการเมืองได้ หลังถีบหัวส่งพรรคไทยรักไทยแบบไม่มีเยื่อใยไปแล้ว อะไรๆก็น่าจะฉลุย แต่ทำไมฟ้าจึงส่งให้ ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แห่งพรรคเพื่อแผ่นดิน มาทำให้สะดุดจนคะมำเช่นนี้ด้วย ทั้งๆที่จริงๆแล้ว นายเนวิน กับ ว่าที่ รต.ไพโรจน์ ก็เคยมีวีรกรรม(ที่น่าจะเรียกว่าวีรเวร)“กลุ่ม 16” ที่โด่งดังในอดีตมาด้วยกันแท้ๆ... แต่ก็กลายเป็นรู้เชิง หรือไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ จนเมื่อบาดหมางแล้ว ก็เลยไม่มีใครด้อยกว่าใคร แต่ที่แน่ๆงานนี้ นายเนวิน ด้อยกว่าเยอะ เพราะเจอสอนมวยทางการเมืองด้วยคะแนนไว้วางใจบ๊วยและรองบ๊วย แถมไม่ไว้วางใจมากที่สุดแบบนี้... แต้มต่อในสนามการเมืองหล่นวูบไปเลยในสายตาของสังคม เลือกตั้งเที่ยวหน้าถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนซีอีโอ เปลี่ยนหัวหน้าพรรค ไม่รู้ว่าจะได้สักกี่เก้าอี้ เพราะแผลลึกจากการสลายการชุมนุมในจิตใจของคนในพื้นที่ภาคเหนือภาคอีสาน ก็มีการเอาปูนหมายหัวภูมิใจไทยไว้ด้วยแล้วเช่นกัน นายเนวิน ซึ่งเก๋าเกมการเมืองอย่างยิ่ง ย่อมรู้ซึ้งถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี ถึงได้ขีดเส้นให้นายอภิสิทธิ์ ต้องเป็นฝ่ายวิ่งวุ่นบ้าง ว่าจะเลือกรักใครกอดใคร?? ซึ่งลำพังด้วยประสบการร์การเมืองอย่างนายอภิสิทธิ์ ที่ยังไม่เก๋าเกมพอ ก็ต้องโยนต่อไปให้นายสุเทพ ช่วยเล่นบท เทพประทานให้อีกหน ช่วยเป็นกาวใจระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับพรรคเพื่อแผ่นดินให้หน่อย ลดแรงกดดันได้มากเท่าไหร่ ก็เท่ากับยืดลมหายใจให้กับรัฐบาลได้นานเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ จึงได้กำชับนายสุเทพ เร่งประสานงานกับพรรคร่วมรัฐบาลให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ส่วนจะหมายถึงการตัดสินใจครั้งนี้ ต้องมีพรรคการเมืองหนึ่งพรรค ออกจากการร่วมรัฐบาลหรือไม่ อันนี้น่าคิด เพราะนายอภิสิทธิ์ เลี่ยงที่จะพูดชัดเจน แต่ออกตัวว่าให้นายสุเทพ ไปคุยให้เรียบร้อยก่อนว่าจะเอาอย่างไร เนื่องจากลึกๆล้วนรู้ดีว่า ปมคาใจของพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดินเท่านั้น ที่ไม่แฮปปี้กับพรรคภูมิใจไทย ก็เพราะนายเวินนั้นคะนองในเพาเวอร์มากไป จนกดปุ่มทั้งกระทรวงคมนาคม ได้โปรเจคท์ได้งบประมาณมาอื้อซ่า ในขณะที่พรรคอื่นๆได้น้อยกว่าเยอะ แถมยังกดปุ่มกระทรวงมหาดไทย ข้ามหัวนายชวรัตน์ในเรื่องโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการจนป่วนไปหมด ถึงขั้นข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยเสียดสีว่า “ยุคนี้หากใครไม่จบสยาม แล้วไม่ผ่านเนฯโยกย้ายไม่มีวันได้ดี” นี่คือบาดแผลลึกในพรรคร่วมรัฐบาล ที่ไม่แน่ใจว่านายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ จะสามารถเยียวยาบาดแผลได้เพียงใด แต่ที่น่าจับตามองก็คือ ในขณะที่ในพรรคภูมิใจไทยแค้นจนเต้นเร่าๆ ในขณะที่นายสุเทพต้องวิ่งพล่านในฐานะผู้จัดการรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ต้องรับเผือกร้อนไปเต็มๆกับการที่ต้องซื้อเวลาให้รัฐบาลไม่ล่ม หรือไม่ต้องยุบสภาก่อนสิ้นปีนี้ ปรากฏว่า สังคมกลับปรบมือให้ นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน แบบดังสนั่น กับผลการลงคะแนนไม่ไว้วางใจรอบนี้ จนกลายเป็นขวัญใจของคนรักประชาธิปไตยที่แท้จริงไปเลย เพราะก่อนหน้านั้น นายชาญชัย ได้มีการออกมาระบุอย่างชัดเจนว่า ให้เอกสิทธิ์ ส.ส.ในการโหวต หากรัฐมนตรีคนใด ชี้แจงไม่เคลียร์ก็ไม่ต้องโหวตให้ ไม่เพียงเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่ยังเป็นการให้ดุลพินิจในการโหวตตามเนื้อผ้าอีกด้วย ต้องบอกว่างานนี้นายชาญชัย... นายแน่มาก เพราะได้คะแนนไปเต็มๆในสายตาประชาชน