WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Sunday, July 18, 2010

วิกฤติรอบด้าน รัฐบาลถดถอย

ที่มา ไทยรัฐ

ภายใต้การดำเนินการตามแผนปรองดองแห่งชาติ

มุ่งแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในสังคม สร้างความสมานฉันท์ เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่สังคมไทย

คณะกรรมการอิสระชุดต่างๆที่รัฐบาลตั้งขึ้นมา ไม่ ว่าจะเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน

คณะกรรมการปฏิรูป (คปร.) ภายใต้การนำของนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มี นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน

คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน

ต่างก็เริ่มเดินหน้าประชุมกำหนดกรอบและแนวทางในการทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา

ทั้งในทางบวก และทางลบ แล้วแต่มุมมองของแต่ละฝ่าย

อย่างไรก็ตาม ในท่ามกลางบรรยากาศที่รัฐบาลพยายามเดินหน้าดำเนินการตามกรอบแผนปรองดองแห่งชาติ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศอย่างชัดเจนว่า ขณะนี้บ้านเมืองยังไม่สงบและจะมีปัญหาต่อเนื่องต่อไป

เพราะคนที่อยู่เบื้องหลังยังไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ถือเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและความไม่สงบที่เกิดขึ้นในห้วงวิกฤติม็อบเสื้อแดง

จนนำมาสู่เหตุการณ์ปะทะระหว่างฝ่ายทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยเฉพาะกองกำลังติดอาวุธที่แฝงอยู่ในม็อบ เกิดความสูญเสีย ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย เกิดจลาจลเผาบ้านเผาเมือง

ปรากฏการณ์เหล่านี้ แม้ยุติลงไปแล้ว แต่สงครามแห่งความขัดแย้งยังไม่จบ

ความสงบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ จึงเป็นแค่ความสงบชั่วคราว

ที่สำคัญ ถึงแม้รัฐบาลสามารถประคองตัวรอดพ้นจากเหตุการณ์วิกฤติม็อบเสื้อแดงมาได้ แต่ก็โดนกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลมือเปื้อนเลือด

เป็นประเด็นให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนของแกนนำม็อบเสื้อแดง

หยิบยกปัญหาความรุนแรงจากเหตุการณ์ไปขยายผลโจมตีรัฐบาลไทยในเวทีโลก

ในขณะที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย และแกนนำม็อบเสื้อแดง ก็พยายามเดินเกมแบบคู่ขนานขยายแผลความขัดแย้ง

เดินสายปลุกระดมมวลชน โจมตีรัฐบาลใช้ความรุนแรงสั่งฆ่าประชาชน

เตรียมการที่จะขย่มเขย่าโค่นรัฐบาลกันอีกระลอก

โดยจะเริ่มชิมลางด้วยการจัดงานวันเกิด พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 26 กรกฎาคม ในหลายพื้นที่ทั้งในภาคเหนือและภาคอีสาน

ตามด้วยการจัดปราศรัยใหญ่ทางการเมือง ในจังหวัดภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่อยู่นอกพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ปลุกเร้ากระแสม็อบเสื้อแดง ต่อต้านรัฐบาลแบบต่อเนื่อง

ที่สำคัญ นอกจากต้องเจอกับแรงต้านจากมวลชนเสื้อแดงและฝ่ายค้านแล้ว ยังมีอีกหลายเงื่อนไขที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯอภิสิทธิ์ ต้องเผชิญกับภาวะขัดขวางการทำงานการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ

เหมือนโดนพายุร้ายถล่มเข้าใส่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนโงหัวไม่ขึ้น

จากปัญหาสถานการณ์แวดล้อมต่างๆที่ถาโถมเข้าใส่ ทำให้คอการเมืองและบรรดาสภากาแฟ วิเคราะห์ วิจารณ์กันในท่วงทำนอง

ไม่มั่นใจ รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้อีกกี่น้ำ

"ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ" จึงถือโอกาสนี้หันมาสำรวจตรวจสอบเสถียรภาพของรัฐบาลว่ามีความมั่นคงแข็งแรงแค่ไหน

เพราะการที่รัฐบาลจะนำประเทศฝ่าวิกฤติปัญหาต่างๆไปได้ ปัจจัยสำคัญก็คือ อำนาจ รัฐต้องเข้มแข็ง

ทั้งนี้ เมื่อมองไปที่ปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาล

เริ่มจากองคาพยพภายในรัฐบาลเอง โดยเฉพาะในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะแกนนำรัฐบาล

แน่นอน ถ้าพูดถึงนายกฯอภิสิทธิ์ที่เป็นผู้นำรัฐบาล สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับว่า

เป็นคนซื่อมือสะอาด ไม่มีปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชัน

แต่การยอมรับจากสังคมตรงนี้ ก็ดูเป็นจุดแข็ง จุดเล็กๆ จุดเดียว

ในขณะเดียวกัน เมื่อกวาดตามองไปที่แกนนำตัวหลักคนอื่นๆในรัฐบาล ทั้งคนของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ

ต้องยอมรับความจริงว่า สังคมมีความรู้สึกกล้ำกลืน

เพราะคนเหล่านี้ยังมีพฤติกรรมที่อยู่ในวังวนของวงจร อุบาทว์ทางการเมือง สังคมมีความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชันสารพัดโครงการ

กลายเป็นตุ้มถ่วง ทำให้ภาพของรัฐบาลมัวหมอง

เมื่อหันมาทางฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่รู้ๆกันอยู่ว่า เป็นเครือข่ายในระบบเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ชัดเจนว่า ฝ่ายค้านไม่ให้การยอมรับรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น

เพราะมองว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ได้อำนาจมาโดยผลพวงของการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน

พร้อมหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีมาโดยตลอดว่า ประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลจากการปล้นอำนาจ ชี้หน้าว่าเป็นเผด็จการซ่อนรูป

มองรัฐบาลชุดนี้เป็นศัตรูคู่อาฆาต

ฉะนั้น ไม่ว่ารัฐบาลจะคิดอะไร ทำอะไร ฝ่ายค้านเป็นต้อง ขวางทุกเรื่องทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ ชนิดที่เรียกว่าค้านกันทุกเม็ด ขวางกันทุกดอก

นึกอะไรขึ้นมาได้เป็นต้องค้านไว้ก่อน ขวางกันเป็นรายวัน

ไม่มีการประสานงาน มีแต่จ้องประสานงา

ส่งผลให้การทำงานในสภาฯของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีการให้ความร่วมมือในการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์

มีแต่เล่นเกมบู๊เข้าห้ำหั่น ฟาดฟันกันท่าเดียว

นอกจากนี้ ยังมีแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และบรรดาแนวร่วมคนเสื้อแดงเดินเกมเคลื่อนไหวนอกสภาฯ คอยตีขนาบถล่มรัฐบาลทั้งบนดินและใต้ดิน อย่างต่อเนื่อง

แม้รัฐบาลยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ อนุมัติให้ต่ออายุการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่ 19 จังหวัด

แต่แกนนำกลุ่มเสื้อแดง และฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ก็เลี่ยงขยับไปเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมในพื้นที่นอกเขตจังหวัดที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เดินหน้าปลุกระดม ตอกลิ่มขยายความขัดแย้งอยู่ ตลอดเวลา

รอจังหวะที่จะเปิดเกมรุกครั้งใหญ่เข้าใส่รัฐบาลอีกรอบ

นอกเหนือจากการเปิดเกมตีขนาบเข้าใส่รัฐบาลแล้ว ยังมีศึกใหญ่ที่ท้าทายความมั่นคงของรัฐบาลรออยู่ อีกด่าน นั่นก็คือ

การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 พื้นที่เขตบึงกุ่ม คลองสามวา คันนายาว หนองจอก ในวันที่ 25 กรกฎาคมนี้

แม้เป็นการเลือกตั้งซ่อมเขตเล็กๆ เป็นเขตที่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย มีฐานเสียงหนาแน่นด้วยกันทั้งคู่

แต่ผลการเลือกตั้งซ่อมในเขตเล็กๆนี้ จะเป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล

พูดง่ายๆก็คือ เป็นตัวชี้วัดศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

ถ้าผลการเลือกตั้งออกมา พรรคประชาธิปัตย์ชนะเลือกตั้งแบบสูสี หรือสถานการณ์พลิกเป็นพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งซ่อม

โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื้อเวลาเป็นรัฐบาลต่อไป ก็คงเป็นไปได้ยาก

นอกจากประชาธิปัตย์จะชนะแบบถล่มทลาย ก็พอจะเป็นตัวช่วยได้บ้าง

เหนืออื่นใด นอกจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 6 แล้ว ยังมีด่านหินที่พรรคประชาธิปัตย์ยังต้องเผชิญ

ซึ่งถือเป็นวิกฤติคอขาดบาดตาย นั่นก็คือ คดียุบพรรค

ทั้งกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องการใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองของ กกต. 29 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์

และกรณีที่คณะทำงานร่วมของ กกต. และอัยการสูงสุด ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ในกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท จากบริษัททีพีไอฯ

พ่วงด้วยการตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคในห้วงเกิดเหตุเป็นเวลา 5 ปี

ขณะนี้ ทั้ง 2 คดีอยู่ระหว่างกระบวนการต่อสู้พิสูจน์ ความจริงในศาลรัฐธรรมนูญ

สุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไร ยังไม่มีใครรู้

แต่ที่แน่ๆ แม้ผลการตัดสินยังไม่ออกมา แต่วันนี้ ความเชื่อมั่นในพรรคแกนนำรัฐบาล

วูบไปแล้ว

ผู้คนในสังคมเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะรอดพ้นการยุบพรรคไปได้หรือไม่

ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลหดหายไปโดยปริยาย

จากสถานการณ์หลายเรื่องราวที่รัฐบาลเผชิญ สะท้อนว่าความมั่นคงของรัฐบาลในการแก้ปัญหาของประเทศ กับปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ อยู่ในสภาพแบกน้ำหนักเกินตัว

ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นรถโดยสารเก่าๆที่มีผู้ โดยสาร 63 ล้านคน มีนายกฯเป็นคนขับ วิ่งปุเลงๆ อยู่บนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อริมขอบเหว

ขณะที่ผู้โดยสารในรถแบ่งพวกทะเลาะตบตีกันวุ่นวาย พวกที่ซุ่มอยู่ข้างทางก็ขว้างก้อนหินเข้าใส่ ในขณะที่คนขับก็โดนเขกหัวเป็นระยะ จนไม่มีสมาธิ

แน่นอน สภาพการณ์อย่างนี้ รถคันนี้มีสิทธิตกเหว ก่อนที่จะถึงจุดหมาย.

"ทีมการเมือง"