WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, January 17, 2011

ประทีป อึ้งทรงธรรม 8เดือนที่หายไปหลังพ.ค.เลือด

ที่มา ข่าวสด

สัมภาษณ์พิเศษ




นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ หรือ 'ครูประทีป' แห่งมูลนิธิดวงประทีป และหนึ่งในแนวร่วม นปช. ผู้เคยร่วมขบวน การต่อสู้ทางการเมืองเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 ก่อนจะเดินทางออกนอกประเทศเป็นเวลานานเกือบ 8 เดือนเต็ม นับจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม

ล่าสุดครูประทีป เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อต้นเดือนม.ค.2554 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดใจให้สัมภาษณ์ถึงช่วงเวลาที่หายไป

ช่วงเวลาที่หายไป อยู่ที่ไหนมาบ้าง

8 เดือนที่หายไป ไปมา 7 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลี และกัมพูชา

ช่วงนั้นเห็นว่าบ้านเมืองรุนแรงมาก มีคนถูกยิงบาดเจ็บ เลยออกไปขอร้องให้ใช้การเจรจากันและขอให้ใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหา ขณะเดียวกันก็สกัดคนไม่ให้เข้าไปในบริเวณราชประสงค์และบ่อนไก่

ดิฉันอยู่บริเวณสามแยกคลอง เตยซึ่งเขาปิดถนนอยู่แล้ว เมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจึงอธิบายให้ ฟังว่า ต้องการเห็นประเทศชาติใช้แนวทางที่นานาประเทศยอมรับ คือ การใช้สันติวิธีแก้ไขปัญหา

เจ้าหน้าที่ตำรวจมากันเยอะแยะมากมาย มีทหารปลอมตัวเข้ามาด้วย แต่เขาก็เห็นอยู่ว่าเราพยายามหยุดคนไม่ให้เข้าไป แล้วตอนหลังทั้งทหารและตำรวจก็มาบอกว่า ครูประทีป ผมเข้าใจนะ ให้คุณหลบไป มันจะแรงมาก

แล้วก็บอกว่าครูจะโดนหมายจับ เขาไม่อยากมาจับครู ดิฉันเลยหลบไปก่อน

ประกอบกับมีงานต่างประเทศด้วย เลยหลบออกไปและไปทำงานในต่างประเทศ ทั้งงานยูเอ็น งานมูลนิธิ และก็ไปรับรางวัลด้วย คือรางวัลด้านสิทธิเด็กจาก Children right foundation หรือ มูลนิธิเพื่อสิทธิเด็กโลก ที่ประเทศสวีเดน

ไม่ได้ไปอยู่ประจำที่ไหน

ใช่ค่ะ แต่หลักๆ อยู่ที่ญี่ปุ่น สามีกับลูกอยู่ที่นั่น ระหว่างนั้นจะเดิน ทางไปที่โน่น 2 อาทิตย์ ที่นี่ 2 อาทิตย์ ไปตรงโน้นตรงนี้ตลอด

ไปประชุมที่ออสเตรเลีย 11 วัน ไปสตอกโฮล์ม 8-9 วัน ไป สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี เกาหลี และกัมพูชา

กัมพูชาเป็นประเทศแรกที่ไป จากนั้นไปญี่ปุ่น ตอนไปกัมพูชาไม่ได้มีงานทำอะไรที่นั่น เพียงแต่ไปชมบ้านชมเมือง ดูการพัฒนาของเขาซึ่งก้าวไปอย่างรวดเร็วมาก

ตอนนั้นโดนหมายเรียกจากศอฉ.แล้ว เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางออกนอกประเทศหรือไม่

ช่วงนั้นมีแต่คนบอกว่า ครูโดนหมายเรียกจาก ศอฉ. ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เพราะไม่มีการประกาศอะไรออกมา เรื่องยึดทรัพย์ทราบแล้ว แต่การประกาศจับยังไม่ทราบ

แต่มีคนบอกว่าให้ออกมาก่อน เป็นคนที่รู้เรื่องราว มีตำแหน่ง เป็นเจ้าหน้าที่ทางราชการ ตอนออกจากประเทศก็ไปแบบปกติ ไม่มีปัญหาเพราะยังไม่มีหมายอะไร ออกไปตอนคืนวันที่ 19 พ.ค.

เจอนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกบ้างหรือไม่

หลังได้รับแนะนำจากตำรวจที่รู้จักกัน ดิฉันไปกัมพูชาพร้อมคนใกล้ชิด แต่ไม่เจอคุณอริสมันต์ ไม่ได้ติดต่อใคร พยายามไปให้เงียบที่สุด ไม่อยากให้ใครรู้ว่าอยู่ที่นั่น

เสียงวิจารณ์ว่าหายไปเพราะหนีหมายเรียก ศอฉ. และกลับมาเพราะเหตุการณ์สงบแล้ว

ใช่ค่ะ ถูกต้อง จริงๆ แล้วไม่ใช่หนี แต่มีภารกิจที่จะต้องไปปฏิบัติอยู่แล้ว เลยไปเสียก่อนแล้วรอให้เหตุการณ์คลี่คลาย ทุกคนฟังกันด้วยเหตุด้วยผลก็กลับเข้ามา

บ้านเมืองมันไม่ควรที่จะใช้อำนาจ คนยิ่งมีอำนาจมากจะต้องฟังคนอื่นให้มากขึ้น ยิ่งมีอำนาจต้องยิ่งพาประเทศให้พัฒนา ไม่ใช่ดึงให้ประเทศถอยหลัง คนที่มีอำนาจต้องรู้จักใช้อำนาจในทางสร้างสรรค์ ให้เกิดความสันติสุข

ไม่ใช่แค่บอกว่าทำเพื่อให้เกิดความสงบ แต่จริงๆ แล้วมันสงบจริงหรือไม่

ตราบใดที่ยังไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีการพูดคุยกัน และไม่มีการนำไปปฏิบัติ การสมานฉันท์คงยากจะเป็นรูปธรรม ยากที่จะนำประเทศชาติกลับมาสู่ความสงบ สันติ และสร้างสรรค์ เป็นเพียงความสงบชั่วคราว

ติดต่อแกนนำคนเสื้อแดงระหว่างอยู่นอกประเทศบ้าง หรือไม่

ดิฉันไม่ให้ใครติดต่อ แต่จะติดต่อมาเองที่มูลนิธิ เมื่อกลับมาถึงไทยก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดให้ไปติดต่อขอพบ ใช้ชีวิตตามปกติ

หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป

ดิฉันกลับมาทำงานในส่วนของดิฉัน คือทำงานที่มูลนิธิดวงประทีป และมูลนิธิสิกขาเอเซีย ส่วนมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ที่ตัวเองเป็นผู้ก่อตั้ง คงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมาก มีผู้ใหญ่หลายคนดูแลอยู่แล้ว

นอกจากนั้น ก็เป็นกรรมการโรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนาและช่วยงานด้านสังคมในพื้นที่ต่างๆ ที่เขาขอร้องมา

งานมูลนิธิเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสังคม ปัญหาผูกโยงกับเรื่องความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิของประชาชน หากไม่มีประชา ธิปไตย ปัญหาสังคมก็เกิดขึ้นมาก ดังนั้น จึงต้องเอ่ยถึง แต่อาจไม่ได้ไปมีงานอะไรมากนัก

อย่างน้อยๆ เราก็ต้องส่งเสียงบ้างว่าขณะนี้สังคมเกิดปัญหาอะไร ทุกฝ่ายถ้าหันหน้ามาคุยกันจะนำพาประเทศชาติพัฒนาไปได้ เพราะขณะนี้เราตกต่ำมาก

ถ้าคนเสื้อแดงชวนไปร่วมกิจกรรมจะไปมั้ย

ตอนนี้ยังไม่ไป ไม่พร้อม ปัญหาเราเยอะมาก ที่ผ่านมาตอนเขาจัดกิจกรรมที่ราชประสงค์ ก็ไม่เคยขึ้นเวทีกับเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นที่สะพานผ่านฟ้า หรือราชประสงค์ ไม่ได้ขึ้น

ช่วงปี 2549-2550 ดิฉันไปขึ้นจริง แต่ปี 2553 ไม่เคยขึ้นเลยสักเวที เพราะตัวเองยังรอคอยให้ประเทศชาติใช้สันติวิธีกัน

แต่เมื่อการใช้อำนาจยังเป็นวิถีทางที่ประเทศไทยนิยมกัน ดิฉันก็ออกมายืนดูห่างๆ ดูว่าใช้อำนาจแล้วบ้านเมืองจะเจริญขึ้น หรือตกต่ำลง

ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองล้วนแต่ให้โอกาสประชาชนแสดงความคิดเห็น มีสิทธิในการชุมนุม การเดินขบวน เป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับผู้บริหารต่างหากว่าจะจัดการอย่างไร ให้ปัญหาคลี่คลายลงด้วยวิธีการใด รวดเร็วแค่ไหน

นั่นคือศักยภาพของผู้บริหาร หากเป็นผู้บริหารที่มีสายตายาวไกล มีวิสัยทัศน์ดี มีปัญหาปุ๊บจะรีบแก้ทันที

มีคำพูดว่าคนฉลาดชอบแก้ไขปัญหา แต่คนเป็นอัจฉริยะจะป้องกันปัญหา ฉะนั้น ถ้าเรามีรัฐบาลที่ไม่ฉลาด ปัญหาอาจไม่ได้รับการแก้

แต่ถ้าสามารถหารัฐบาลที่เป็นอัจฉริยะได้ ปัญหาก็จะไม่เกิด ประเทศชาติจะเจริญรุ่งแรือง

ต่อจากนี้การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความอยุติธรรม ในสังคมจะทำในนามของตัว เอง

ใช่ จะทำในนามตัวเอง จะเคลื่อนไหวในฐานะครูประทีปที่ทำงานอยู่กับคนยากคนจน ไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร ศัตรูกับรัฐบาลเราก็ไม่ได้เป็น กับทหารถึงแม้ไม่ชอบวิธีการ แต่เราก็ไม่เป็นศัตรู

ผู้คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เราเห็นใจเขา แต่การไปขึ้นเวทีใดๆ เราคงไม่ได้ขึ้น

ที่มีการไปออกข่าวตามทีวีช่องต่างๆ ว่าครูประทีปจะไปขึ้นเวที จะไปปราศรัย เขาเข้าใจผิด เราเป็นมิตรกับทุกคน โดยเฉพาะเป็นมิตรกับผู้ยากไร้ และผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

การดำเนินการของรัฐบาลหลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง

ในแง่การต่างประเทศ ประเทศเราเสียหายมาก เพราะยุคนี้ระบบเทคโนโลยีเข้ามามีอิทธิพล เกี่ยวข้องกับทุกชีวิตของผู้คนในโลก เราคงไม่สามารถไปหลอกใครต่อใครในโลกได้ เพราะเขาก็มีข้อมูลเหล่านั้น

ในแง่ของเศรษฐกิจจะเห็นว่า เศรษฐกิจของชาวบ้านลำบากแค่ไหน ข้าวของแพงมาก ปัญหายาเสพติดยังมีอยู่มาก ปัญหาเยาวชน ยังแก้ไขไม่หมด

ปัญหาที่ดูเหมือนว่าไม่ได้รับการแก้ไขอะไรเลยนอกจากเอาอิฐกดทับไว้ คือเรื่องความสมานฉันท์ อยากให้รัฐบาลพูดและปฏิบัติให้ได้อย่างที่พูด

การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงยุคปัจจุบัน

เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ต้องการแสดงความรู้สึกตามที่เห็นว่าตนเองมีสิทธิ และเขาเห็นว่ามันควรจะเป็นไปเพื่อสิทธิของประชาชน จึงออกมารณรงค์ รัฐบาลต้องเคารพสิทธิของเขา

ต่างประเทศก็ใช้ระบบเหล่านี้ ทำให้เกิดการรับฟังกันแล้วปรับนโยบายต่างๆ กระทั่งประเทศเขาพัฒนาไปด้วยดี แต่หากรัฐบาลไม่รับฟัง ไม่ดำเนินการ จะมีความขัดแย้งไปเรื่อยๆ

ผู้กำหนดว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่คือรัฐบาล ไม่ใช่ประชาชน อยู่ที่ว่ารัฐบาลจัดการเรื่องนี้อย่างไร

ทุกประเทศก็มีการเสนอข้อคิดเห็น อย่างอังกฤษ ประชาชนก็ออกมาเรียกร้อง รัฐบาลก็จัดการเลือกตั้ง ประเทศเขาก็ไม่เสียหายอะไรเลย

ทำให้มองว่าขณะนี้รัฐบาลต้องการรักษาอำนาจของตัวเองมากกว่า