WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, January 17, 2011

ไม่ปล่อยลอยนวล ศาลอาญาระหว่างประเทศมาไทย ฮิวแมนไรต์ฯชี้ฝ่ายฆ่าต้องเข้าสู่กระบวนยุติธรรมด้วย

ที่มา Thai E-News


ที่มา โลกวันนี้

วันที่ 21 ม.ค. นี้จะมีผู้แทนศาลอาญาระหว่างประเทศเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมเสวนากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย และร่วมสังเกตการณ์การค้นหาความจริงเหตุการณ์สังหารหมู่ประชาชนจากการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง

นักวิชาการชี้นักวิชาการทั่วโลกทั้งในยุโรปและสหรัฐกำลังนำสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา เพราะเห็นว่าเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ระบุถึงเวลาที่ประชาชนต้องตัดสินใจว่าอยากอยู่ใต้ระบอบการปกครองประชาธิปไตยหรือว่าจะให้ประเทศเป็นรัฐทหาร ด้านฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเสนอรายงานตรวจสอบเหตุรุนแรงในไทยภายในเดือน ก.พ. นี้ เผยครอบคลุมทุกเหตุการณ์และชี้ชัดว่าใคร ฝ่ายไหนต้องรับผิดชอบอย่างไร ย้ำต้องนำทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างสมเหตุสมผลจึงจะเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้

ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ เปิดเผยว่า ตัวแทนศาลโลกมาสังเกตการณ์

ดร.จารุพรรณกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจจากต่างประเทศ ล่าสุดวันศุกร์ที่ 21 ม.ค. นี้ทางศูนย์เยอรมนีได้เชิญผู้แทนจากศาลอาญาระหว่างประเทศ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงานเสวนากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย พร้อมสังเกตการณ์ และติดตามการทำงานของรัฐบาลในการหาความจริงเหตุการณ์การสังหารหมู่คนไทย พร้อมทั้งจะพบปะหารือกับตัวแทนหรือญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

เสี่ยงกลับไปสู่ยุคทหารมีอำนาจ

“วันนี้ประเทศไทยกำลังอยู่บนเส้นทางที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะยืนอยู่บนปากเหวหรือตกลงไปในเหวที่อาจจะย้อนกลับไปสู่การปกครองแบบทหารมีอำนาจ ซึ่งมีทางเดียวคือการรัฐประหาร เชื่อว่าหากทำอีกครั้งจะมีคนไทยอีกหลายล้านคนพร้อมจะตายและพร้อมตอบโต้การกระทำของผู้มีอำนาจและกองทัพอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ วันที่ 23 ม.ค. นี้กลุ่มนิติราษฎร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดสัมนาเรื่อง “ทหารกับประชาธิปไตย” เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าประเทศไทยถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวโลกกำลังจับตาดูและมีความเชื่อว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยกำลังถดถอย ดังนั้น ทางกลุ่มนิติราษฎร์ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เล็งเห็นว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยกำลังมีปัญหาจึงจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาจัดมาหลายครั้งและได้รับความสนใจเป็นอย่างดี

ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนสอบสวน

“การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อเดือน เม.ย. และ พ.ค. 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็นน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้แล้วสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวงจแห่งชาติ ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”

เข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรม

ดร.จารุพรรณกล่าวว่า พฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรม เพราะดูเหมือนว่ามีเจตนาที่จะไม่ให้เรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากคนเสื้อแดงมองว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็มองว่าความยุติธรรมจากที่อื่นซึ่งมีช่องทางดำเนินการได้คือ นำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) หรือนำเรื่องฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ

ดร.จารุพรรณกล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียง ถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก

ไทยต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน

“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก”

คนนอกประเทศรู้มากกว่าคนในประเทศ

ดร.จารุพรรณกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาคนที่อยู่ต่างประเทศรู้เรื่องราวภายในประเทศไทยมากกว่าคนไทย เขารู้ว่ามีการระดมทหารมากกว่า 80,000 นายมากระชับพื้นที่ ซึ่งมากกว่าการสู้รบเพื่อปกป้องอธิปไตย มีทหารพร้อมอาวุธครบมือขึ้นไปอยู่ตามอาคารสูงโดยรอบบริเวณที่ชุมนุม ทั้งอาคารเกสรพลาซ่า เซ็นทรัลเวิลด์ และอาคารต่างๆเป็นจำนวนมาก มีการใช้อาวุธจริงยิงลงมาที่ผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ซึ่งทหารยอมรับเองว่ายิงลงมาจริง การสอบสวนของดีเอสไอก็พบข้อมูลเรื่องนี้ และรู้ว่ากำลังชุดไหน นำโดยใคร อยู่จุดไหน

ไม่พยายามหาตัวคนผิดฝ่ายรัฐ

“เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดที่ทหารต้องยิงประชาชนมือเปล่า เพราะมีคนสั่งการ ตอนนั้นกำลังทหารล้อมไว้หมด ไม่มีใครเข้าไปได้ แม้แต่ในเซ็นทรัลเวิลด์ก็มีทหารเป็นจำนวนมาก ขนาดยามยังโดนไล่ออกมา แต่เกิดไฟไหม้ได้ จึงมีคำถามว่าใครกันแน่เป็นคนเผาเซ็นทรัลเวิลด์ เพราะการใช้น้ำมันมากขนาดนั้นใครจะขนเข้าไปได้นอกจากคนที่อยู่ข้างใน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นคนสั่งการ และยังไม่มีความพยายามหาตัวผู้กระทำความผิดที่แท้จริงอีกด้วย”

กาชาดสากลไม่ยอมรับไทย

ดร.จารุพรรณกล่าวต่อว่า วันนี้กาชาดสากลยอมรับไม่ได้ที่มีภาพของทหารจำนวนหนึ่งเอาปืนจี้ให้เจ้าหน้าที่กาชาดที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บลงจากรถ และยังมีการตะโกนจากเจ้าหน้าที่ทหารว่า “ถ้าเข้าไปจะยิงให้ตายเพราะถือเป็นผู้ก่อการร้าย” เรื่องนี้กาชาดสากลรับไม่ได้จริงๆ ในขณะเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งประเทศไทยไม่เคยออกมายอมรับว่ามีการละเมิดสิทธิในประเทศไทย ทั้งที่รัฐบาลพยายามจะปิดกั้นข่าวสารที่ออกไปต่างประเทศ มีการปิดเว็บไซต์ที่จะเผยแพร่การกระทำของเจ้าหน้าที่กับการกระทำของรัฐบาลไปสู่สายตาชาวโลกกว่า 20,000 เว็บไซต์ ซึ่งเรื่องนี้ทั่วโลกเฝ้าจับตาดูอยู่

ฮิวแมนไรท์วอทช์ใกล้สรุปรายงาน

ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบปัญหาการสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากว่า ขณะนี้การจัดทำรายงานดังกล่าวมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าน่าจะเสร็จในเดือน ก.พ. ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนเป็นผู้กระทำ

ย้ำรายงานครอบคลุมตรงไปตรงมา

“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น” นายสุนัยกล่าวและว่า

ในรายงานยังมีการพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง มีบทบาทมากน้อยแค่ไหนในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงการเสียชีวิตของ เสธ.แดงด้วย

จะชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร

นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์จะชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว ที่สำคัญหวังว่าการเสนอรายงานลักษณะอย่างนี้จะทำให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่ยังไม่ตระหนักในสิ่งที่ตัวเองต้องรับผิดชอบได้สำนึกในสิ่งตัวเองกระทำลงไป ไม่ใช่เอาแต่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ

ต้องรับผิดทุกฝ่ายจึงเกิดปรองดอง

“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่ทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือ ความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองจะทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”

ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

นายสุนัยย้ำว่า ความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายที่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นองเลือดคือต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่มนี้ และต้องหาตัวให้เจอว่ามีใครบ้างที่ต้องถูกดำเนินคดี ไล่ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย ฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือฝ่ายคนชุดดำจริงๆเป็นใครกันแน่ต้องเปิดโปงออกมา และมีส่วนเชื่อมโยงกับคนเสื้อแดงอย่างไร ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมาเพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาได้

ต้องดูอำนาจสั่งการใน ศอฉ.

ส่วนกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องนั้น นายสุนัยกล่าวว่า ต้องตรวจสอบว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งของนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่างไร หรือไปตัดตอนอยู่ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการใน ศอฉ. ซึ่งจะเป็นการเปิดทางไปสู่การทำความกระจ่างในหลายเรื่อง และถ้ามองย้อนกลับมาในส่วนของคนเสื้อแดงต้องดูว่าเป็นคนเสื้อแดงกลุ่มไหน เพราะคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม เช่น แกนนำก็มีแกนนำสันติวิธี แกนนำหัวรุนแรง ต้องดูว่าคนไหน สิ่งเหล่านี้จะเป็นก้าวแรกในการนำไปสู่ความกระจ่าง

นายสุนัยยังกล่าวถึงกรณีที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. ยื่นเรื่องขอประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงแต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐว่า การประกันตัวเป็นสิทธิของผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหามีสิทธิจะขอได้ ศาลต้องพิจารณาแยกแยะเป็นรายๆไป