ที่มา บางกอกทูเดย์
ปริศนาที่ 'มาร์ค' ต้องหาคำตอบ
ปริศนาเบื้องลึกจากคุกเขมร!
เหลือติดคุกอยู่คนเดียว "วีระ สมความคิด" ยังถูกจองจำต่อเพราะศาลกัมพูชายังไม่อนุญาตให้ประกันตัว
โดยเมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่ศาลอุทธรณ์ ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา ได้พิจารณาการยื่นขอประกันตัวของ 5 คนไทยปรากฏว่าศาลพิจารณาให้ประกันตัว แค่ 4 คน ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์, นายตายแน่ มุ่งมาจน, นายกิจพลธรณ์ ชุสนะเสวี และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์
ยกเว้น นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ
และในขณะที่คนไทยทั้ง 5 คน เดินออกจากห้องพิจารณา นายวีระ ได้แสดงอารมณ์ ฉุนเฉียว พร้อมตะโกน บอกว่า
“ผมไม่ได้ประกันคนเดียว”
“ผมจะสู้กับมันจนถึงที่สุด”
นั่นคือคำพูดวีระก่อนถูกส่งกลับเรือนจำเปรย์ซอว์
ทั้งนี้ ศาลกัมพูชายังไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไม ถึงไม่ให้ประกันตัวนายวีระ ซึ่งทนายความให้เหตุผลว่า ที่ศาลไม่ให้ประกันตัว อาจเพราะข้อหาจารกรรมข้อมูล ที่นายวีระถูกตั้งโทษอยู่นั้น ถือว่าเป็นข้อหาที่ร้ายแรง
เป็นอันว่า 7 คนไทยที่ถูกจับกุม ณ เวลานี้ 6 คนได้รับการประกันตัว และถูกนำตัวไปยังสถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ มีเพียงนายวีระเท่านั้นที่ยังคงถูกคุมขังในเรือนจำเปรย์ซอว์
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ทำไมต้องเป็นวีระ? และอะไรกันแน่ที่ทำให้วีระไม่รอดคุกกัมพูชาเสียที?
เพราะหากนับจากวันที่ถูกจับกุม คือ 29 ธันวาคม 2553 มาถึงวันนี้เท่ากับ 21 วันเข้าไปแล้ว ที่ต้องนอนอยู่ในเรือนจำเปรย์ซอว์
ยังดีที่เป็น 29 ธันวาคมนะ เพราะหากเป็น 29 พฤศจิกายน คงต้องถือเป็นตลกร้ายมากกว่านี้ เพราะจะเท่ากับว่าหลังครบรอบวันเกิดอายุ 54 เพียงแค่วันเดียวนายวีระก็ติดคุกเสียแล้ว เนื่องจากนายวีระนั้นเกิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2500
แต่หลายคนที่เชื่อเรื่องดวง ก็บอกว่ายังไงก็เป็นโชคร้ายอยู่ดี เพราะหลังวันเกิดเพียงแค่เดือนเดียวกลับโดนจับกุมติดคุกแบบนี้... ไม่รู้ว่าในปีที่อายุ 54 นี่ นายวีระจะระหกระเหินอีกสักขนาดไหน???
เพราะแม้ว่านายณฐพร โตประยูธ ที่ปรึกษากฎหมายชาวไทย จะบอกว่าในวันนี้ (19 ม.ค.) เวลาประมาณ 11.00น.จะเดินทางไปพบนาย วีระ ที่เรือนจำเปรย์ซอว์ ประเทศกัมพูชา เพื่อสอบถามข้อมูลนายวีระ และจะทำเรื่องยื่นขอประกันตัวต่อศาลกัมพูชาในชั้นฎีกาทันที
นายณฐพร ยอมรับว่ายังไม่ทราบเหตุผลที่ศาลกัมพูชาไม่ให้ประกันตัวนายวีระ อย่างไรก็ดี ส่วนตัวไม่เชื่อว่า ที่ศาลไม่ให้ประกันตัวเฉพาะนายวีระ เพราะมีข้อหาการจารกรรมข้อมูล
เพราะนางราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่มีข้อหาเดียวกันก็ยังได้รับการประกันตัว
ดังนั้นน่าจะใช้เหตุผลเพราะนายวีระไม่ให้การใดๆกับศาลมากกว่า
นี่คือมุมมองของทนายความ
ซึ่งหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแรกที่มีการพิจารณาให้ประกันตั้งแต่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และนางนฤมล จิตรวะรัตนา ซึ่งทั้งคู่ยอมรับว่าได้พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อยอมรับเช่นนี้ก็เลยง่ายขึ้น
เพราะหลายฝ่ายมีการคาดการณ์ เมื่อมีการยอมรับความผิดเรื่องก็จบ และระวางโทษก็จะไม่รุนแรง ซึ่งก็เป็นไปตามที่ทีมทนายให้ความช่วยเหลือได้บอกให้ยอมรับผิดไปซะ เพราะจะง่ายต่อการประกันตัว
ดังนั้นหากมองในตรรกะนี้ ก็คือว่าการที่นายวีระยังไม่ยอมรับจึงทำให้ยังไม่ได้รับการประกันตัว
แต่ขณะเดียวกันก็คงต้องมองให้ลึกลงไปด้วยว่า ข้อหาของนายวีระไม่ได้มีแค่การรุกล้ำ แต่ยังมีการพ่วงข้อหาจารกรรมทางทหารอยู่ด้วย... การยอมรับจะต้องหมายถึงการยอมรับทั้ง 2 ข้อกล่าวหาด้วยหรือไม่?
ตรงนี้เป็นอีกประเด็นที่น่าคิด
ยิ่งเมื่อหากย้อนดูพฤติกรรมของนายวีระที่มีประวัติเคยบุกรุกพื้นที่มาแล้วหลายครั้ง ตรงนี้ก็ยิ่งต้องระมัดระวังให้มากด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญนายวีระเป็นหนึ่งในแกนนำม็อบพันธมิตรฯ ซึ่งไม่เพียงถูกมองว่าเป็นม็อบมีเส้น แต่ยังถูกมองว่ามีสัมพันธ์ลึกกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้น กระทั่งทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
และมีการตอบแทนกลุ่มม็อบพันธมิตรด้วยการแต่งตั้งให้นายกษิต ภิรมย์ จากม็อบพันธมิตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ถ้าโยงความสัมพันธ์ในอดีต กับการที่จะต้องยอมรับข้อกล่าวหาในเรื่องจารกรรม ตรงนี้ดีไม่ดีแม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็อาจจะไม่สนุกนักด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันก็ไปสอดคล้องกับที่หลายๆภาคส่วนในสังคมไทยมีความเป็นห่วงว่า ถ้ายอมรับความผิดไปแล้ว จะทำให้ยากต่อการต่อสู้เรื่องดินแดนของประเทศในภายหลังนั้นหรือไม่???
เพราะต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ ที่ต้องตั้งรับและตกหลุมพราง หมากเกมที่ทางกัมพูชาวางและออกแบบไว้ทั้งหมด
จึงทำให้มีความวิตกกังวลกันว่าในระยะยาวไทยจะเสียเปรียบกัมพูชาในเรื่องดินแดนที่คนไทยทั้ง7 คนถูกจับตัวไปอย่างแน่นอน
เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีการนำเรื่องนี้ไปประท้วงอย่างเป็นทางการให้ประชาคมโลกได้รับรู้ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีหลักฐานว่าเป็นพื้นที่ฝั่งไทยไม่ได้เป็นของกัมพูชา
การไม่ประท้วงก็เหมือนเป็นการยอมรับ ซึ่งทางกัมพูชาก็สามารถที่จะนำประเด็นนี้ไปใช้ประโยชน์ในการกล่าวอ้างในอนาคตได้
ดังนั้นรัฐบาลไทยจะต้องเป็นผู้ตอบคำถามว่าเหตุในกัมพูชาจึงให้ประกันคนไทยเกือบครบ แต่เหลือแค่นายวีระคนเดียว
เป็นเรื่องของขบวนการยุติธรรมของศาลกัมพูชา จริงหรือไม่ หรือเป็นกระบวนการที่เกิดตามมาจากการเข้าไปเจรจาของรัฐบาลไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี จะต้องเป็นผู้ตอบคำถามให้ได้ว่า ทำไมจึงหลือเพียงนายวีระ
ทั้งๆที่นายวีระและ นางราตรี พิพัฒนไพบูรน์ ถูกตั้งข้อหาจารกรรมข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งก็ถือว่ามีโทษหนักด้วยกันทั้งคู่ แต่กลับรอดเพียงคนเดียว!!!
และถึงวันนี้ การที่มีภาพออกมาสู่สังคมในทำนองว่านายกรัฐมนตรีวางเฉย หรือเหมือนไม่ใส่ใจต่อปัญหาเท่าที่ควร จึงกลายเป็นผลเสียต่อตัวนายกรัฐมนตรีเอง เนื่องจากภาวการณ์เป็นผู้นำจะหายไป
ก็คงต้องดูว่าสุดท้ายแล้ว คดีของนายวีระจะเป็นอย่างที่รัฐบาลหวังว่า จะแค่ตัดสินช้าไปหน่อย แต่สุดท้ายยังไงก็จะไปจบที่การขอพระราชทานอภัยโทษได้ในที่สุด
ก็ต้องลุ้นระทึกกันว่า ระหว่างการที่กลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติยกระดับการชุมนุมมาเป็นการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ กับการช่วยเหลือนายวีระ
อะไรจะอึดกว่ากัน