ที่มา บางกอกทูเดย์
เหลืองไล่! แดงก็ยี้!
พรรคร่วมเบื่อหน่าย
ถ้าทำดี ต้องมีคนเห็น... และเมื่อมีคนเห็น ก็ต้องมีคนนิยมชมชอบ
นี่คือหลักธรรมดาๆ ที่ทุกสังคมล้วนยอมรับเป็นหลักสากล ยอมรับกันมาทุกยุคทุกสมัย
ดังนั้นระหว่างการทำงานเป็น การทำงานจริง กับการสร้างภาพประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อเก่ง ตรงนี้ผู้นำรัฐบาลจะต้องแยกแยะให้เป็น จะต้องยอมรับให้ได้ว่า ประชาชนในยุคสมัยดิจิตอล 3 มิติ 4 มิติ ไม่ใครโง่กว่าใคร
กรณีที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในยุคที่มีนายกรัฐมนตรี ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นผู้นำรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน นายอภิสิทธิ์จะต้องไม่ประเมินต่ำเพียงแค่ว่า ด้วยต้นทุนทางสังคมที่มีในเรื่องของหน้าตา ชาติตระกูล การศึกษา พูดอะไรประชาชนจะต้องเชื่อหมด
คนไทยไม่ได้โง่ ที่จะไม่รู้ทัน... หรือไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ข้อมูลว่านายอภิสิทธิ์ทำงานเป็นแค่ไหน รัฐบาลผสมของนายอภิสิทธิ์ ทำอะไรเอาไว้บ้าง
ถ้าผลงานของนายอภิสิทธิ์ดีจริง หรือว่ามีจริงๆ คงไม่โดน โน๊ต อุดม แต้พานิช แต่งเพลงล้อเลียนว่า
“นโยบายที่มีก็ลอกพรรคเก่า อะไรดีเอาเข้าพรรคเรา ความชั่วให้เขา แก๊งภูมิใจไทย”
ขนาดคนบันเทิงยังมองแบบนี้ แล้วสำหรับคนที่สนใจการเมืองโดยตรง คนที่ทุ่มเทให้กับประชาธิปไตยที่แท้จริง แทบไม่ต้องบอกเลยว่า ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลจะเละเป็นโจ๊กขนาดไหน!!!
ที่สำคัญแม้แต่กลุ่มการเมืองที่เคยสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ อย่างกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ กลุ่มการเมืองใหม่
วันนี้ยังส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา... และเปลี่ยนใจหันมาขับไล่นายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดง ก็ยังคงยืนหยัดเหนียวแน่นในการทวงความเป็นธรรม และปฏิเสธไม่เอารัฐบาลมาร์คมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีขั้วอำนาจพิเศษหนุนหลังอยู่กี่กลุ่มก็ตาม
จุดนี้นายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างจะต้องมองให้ทะลุ
และวันนี้ถึงขนาดที่บนเวทีพันธมิตรนามของกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ จะมีคนเสื้อแดงบางกลุ่มบางสายที่ยอมเดินขึ้นเวทีไปร่วมไฮปาร์ค แสดงจุดยืนว่าไม่เอารัฐบาล
แม้ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง จะพูดถึงกรณีที่เครือข่ายคนไทยฯ จะยื่นถวายฎีกาเพื่อขับไล่รัฐบาลในวันที่ 18 ม.ค.นี้ว่า เกิดมาเป็นคนไทย ต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และต้องตระหนักว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ประสงค์ที่จะให้มีอะไรที่เป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ฉะนั้นการที่จะดำเนินการอะไรขอให้คิดถึงหัวใจของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศด้วย
ส่วนการที่คนเสื้อแดงไปให้กำลัง และขึ้นเวทีของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาตินั้น กลัวหรือไม่ว่ากลุ่ม คนเสื้อแดงจะแตะมือกับคนเสื้อเหลือง และจะส่งผลเป็นแรงกดดันอย่างใดอย่างหนึ่งต่อรัฐบาล
นายสุเทพ กล่าวว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวลใจ เพราะรัฐบาลถูกกดดันมาตลอด
“เราก็ทำหน้าที่ของเราโดยยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่สามารถทำตามสิ่งที่คนอื่นกดดันได้”
ก็ดีที่มีความอึด ซึ่งจะเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นว่าทหารยังให้การสนับสนุน แถมยังมีขั้วอำนาจพิเศษให้พิงหลังอยู่ หรือว่าเชื่อมั่นเพราะอะไรก็ตาม
แต่ดูเหมือนว่า ลึกๆแล้วพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเขี้ยวในเกมการเมือง ก็เริ่มเครียดกับท่าทีของเหลืองและแดงแล้วเหมือนกัน เพราะยุทธศาสตร์ “แยกกันเดิน รวมกันตี” เป็นสิ่งที่ประชาธิปัตย์รู้ดีว่ามีพลังเพียงใด
ซึ่งครั้งนี้ไม่ว่าเหลือง หรือว่าแดง ล้วนมีเป้าหมายที่พ้องกัน คือ ไม่เอานายอภิสิทธิ์ และรัฐบาลชุดนี้แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะมีสไตล์ที่แตกต่างกัน มีแนวทางในการดำเนินการที่แตกต่างกัน จนยากที่จะผสมเป็นเนื้อเดียวกันได้
แต่ประชาธิปัตย์ก็ประมาทไม่ได้ เพราะตอนนี้ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ส่ายหน้าหนีไม่เอานายอภิสิทธิ์ ไม่เอานายสุเทพ กันหมดแล้ว
งานนี้บอกได้เพียงว่า ถ้าเป็นสงคราม ก็แปลว่านายอภิสิทธิ์และรัฐบาล กำลังเจอศึกกระหนาบ 2 ข้าง ที่ตีเข้ามาพร้อมกัน
ในขณะที่ผลงานของรัฐบาลก็ป้อแป้เหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอึดได้นานถึงปลายปี อย่างที่ใครบางคนต้องการหรือไม่???
เพราะตอนนี้ปัญหาไฟใต้ก็ปะทุ ตบหน้าอยู่ตลอดเวลา ว่าขนาดเป็นพื้นที่ภาคใต้ซึ่งประชาธิปัตย์ถือว่าเป็นเจ้าถิ่น แต่เป็นรัฐบาลมานาน 2 ปี กลับไม่สามารถแก้ปัญหาให้เบาบางลงได้อย่างราคาคุยเลย
ล่าสุดโจรใต้ก็ยิงคุณครูในช่วงวันครูอย่างหน้าตาเฉย... ทำลายขวัญของครูชายแดนภาคใต้ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ เพราะแม้แต่นายบุญสม ทองศรีพราย ประธานสมาพันธ์ครูจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวถึงเหตุคนร้ายลอบยิงครูเสียชีวิตว่า การกระทำครั้งนี้ค่อนข้างหน้ากลัว
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 138 แล้ว
“ทุกครั้งที่ครูถูกทำร้ายก็เสียขวัญตลอดเวลา แต่ด้วยหน้าที่ที่ครูต้องรับผิดชอบก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไป”
นี่คือชีวิตของครูภาคใต้ และแน่นอนว่าไม่ใช้เฉพาะแค่อาชีพครูเท่านั้น อาชีพอื่นๆของผู้ไปรับราชการอยู่ที่ภาคใต้ ก็ล้วนแล้วแต่เหมือนกับมีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยๆ ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือคราเคราะห์จะมาเยือนวันไหน
จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ผลงานของรัฐบาลในเรื่องการดับไฟใต้ นั้นต้องถือว่าคะแนนไม่ผ่าน
ไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นกับประชาชนได้ว่า การออกจากบ้านทุกวันในตอนเช้าเพื่อปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือไปทำธุรกิจประกอบสัมมาอาชีพ แล้วจะต้องได้กลับมาเห็นหน้าครอบครัวลูกเมีย
นี่คืออีกหนึ่งจุดอ่อนที่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำรัฐบาล จะต้องตระหนักและเร่งแก้ไขปัยหา ไม่ใช่มัวแต่มาเล่นเกมการเมืองอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะประวิงเวลาในการยืดอายุรัฐบาลไปเรื่อยๆ
ที่สำคัญที่สุดซึ่งประชาชนภาคใต้กำลังจับตามองเป้นอย่างยิ่งก็คือ เรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งพรรคฝ่ายค้าน มีการหยิบยกประเด็นขึ้นมาว่า ได้มีการใช้งบประมาณไปร่วมแสนล้านบาท
นี่คือสิ่งที่ประชาชนต้องการรู้ว่า เป็นเรื่องจริงหรือไม่??? และรัฐบาลใช้จ่ายอะไรไปถึงได้มากมายขนาดนั้น
ถือเป็นประเด็นถามที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม เพราะก่อนหน้านี้เรื่องของการใช้งบประมาณทางทหาร เรื่องของงบประมาณศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ล้วนแล้วแต่เป็นงบประมาณที่อยู่ในการจับจ้องมองของประชาชนมาโดยตลอด
เนื่องจากว่ามีสารพัดข่าวลือ... ในเรื่องของการใช้งบประมาณกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อมาเกิดคำถามเกี่ยวกับงบดับไฟใต้เข้าให้อีก ตรงนี้ไม่สนุกแน่
เพราะสิ่งที่ประชาชนจำได้ก็คือ ในการประชุมให้ความเห็นชอบกรอบงบประมาณปี 53 ผนวกแผนกระตุ้นศก.ระยะ 2 รวม 1.8 หมื่นล้าน ซึ่งนายสุเทพได้เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงเกี่ยวกับสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาค ใต้ ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล โดยมีนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในขณะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสนาธิการทหารบกในขณะนั้น พล.ท.พิเชษฐ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่สี่ในขณะนั้น นายพระนาย สุวรรณรัตน์ ผอ.ศอ.บต. รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
สรุปว่าในปี 2553 จะใช้งบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท โดยใช้จากงบประมาณประจำปีปกติ 6,000 ล้านบาท ส่วนอีก 1 หมื่นล้านบาท นั้นจะใช้จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ!!!
ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ ได้พูดถึงตัวเลขของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ภาคใต้ ทุกหน่วยงานมี 6.6 หมื่นคน
หรือแม้แต่จะว่าเป็นไปตามแผนใหญ่ นั่นคือ การอัดฉีดเม็ดเงินก้อนใหญ่ตามแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปี 2552-2555 ซึ่งผ่านมติ ครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2552
จัดสรรงบประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ใน 6 แผนงานดับไฟใต้
ตรงนี้ก็ยังไม่ถึงแสนล้านบาทอยู่ดี...
ดังนั้นเมื่อมีข่าวว่า มีการใช้งบกันเป็นแสนล้านบาท ก็เป็นธรรมดาที่ต้องสะดุ้ง และงุนงงสงสัยไปตามๆ กัน ว่าทำไมตัวเลขมันจึงบานปลายไปได้ขนาดนั้น
ที่สำคัญ หากว่าสูญเสียงบประมาณแสนล้านบาทจริงๆแล้วสามารถดับไฟใต้ได้สำเร็จ เทียบกับชีวิตของครูภาคใต้ ของข้าราชการ ของประชาชนภาคใต้ ก็ต้องถือว่าคุ้มค่า
จะได้ไม่มีการสูญเสียชีวิตอีก จะได้ไม่ต้องมีลูกกำพร้าเป็นจำนวนมาก
แต่ปรากฏว่าล่าสุดต้อนรับนายอภิสิทธิ์ลงไปปลอบขวัญครูภาคใต้ ก็เกิดโจรใต้ป่วนรับอรุณของวันที่ 17 มกราคม 54! วางกับระเบิดหนักไม่ต่ำกว่า 30 กก. ที่ยะลา ทำให้ 2 สามีภรรยาถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บซึ่งทางเจ้าหน้าที่คาดว่าเป็นของคนร้ายพวกก่อความไม่สงบแอบนำมาฝังไว้จนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนร้ายคาดว่าเป็นกลุ่มที่พยายามก่อเหตุการณ์ลอบวางกับระเบิดในสวน ยางพารามาแล้วหลายครั้งเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มึนไปเลยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
อย่างไรก็ตามในเรื่องของการใช้งบประมาณเป็นจำนวนมหาศาลนั้น ทางนายสุเทพ ยืนยันว่าในยุคของตนเองได้ใช้งบประมาณในการดำเนินงานโครงการพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปีละประมาณ 1.8-1.9 หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้น
ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าไม่ได้ใช้เงินเป็นแสนล้านอย่างที่มีการพูดกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร หากมองถึงสถานการณ์ของรัฐบาลในขณะนี้ คงต้องบอกว่าหากจะอยู่ต่อให้ถึงปลายปี รับรองว่าเหนื่อยแน่ๆ เพราะไหนจะเจอกับการขับไล่ของทั้งสีเหลือง และ สีแดง ในขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจก็ยังเหนื่อยกับการอุดรูรั่ว แถมไฟใต้ก็ยังไม่ยอมดับ
ในขณะที่กับพรรคร่วมรัฐบาลก็ระหองระแหงหนัก ในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
รวมทั้งเรื่องปัญหาคนไทย 7 คนที่ถูกจับในเขมร
รอด ไม่รอด ... ประชาธิปัตย์น่าจะรู้อยู่แก่ใจ!!!