WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, July 15, 2011

ประเทศที่ไม่สามารถเคารพความจริง และความหมายของ “ความตาย” ของประชาชน

ที่มา ประชาไท

“การ ขอคืนพื้นที่ เมื่อวันที่ 10 เม.ย. เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิ์ประชาชนทั่วไป ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรการที่ประกาศไว้ก่อนจริง กระทำจากเบาไปหาหนัก จึงเป็นการกระทำภายใต้กฎหมายที่ให้อำนาจไว้ แม้มีการกระทำที่ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บต่อผู้ชุมนุมทั้งการใช้กระบอง แก๊สน้ำตา กระสุนยาง แต่เมื่อพิจารณาย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับฝ่ายผู้ชุมนุมที่มีอาวุธและผู้สนับสนุนที่มีอาวุธ สงคราม”

เราจะไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเลย หากข้อความข้างต้นนี้เขียนจาก “ข้อวินิจฉัย” ของรัฐบาลประชาธิปัตย์ กองทัพ หรือแกนนำพันธมิตร แต่นี่เป็นข้อความในรายงานผลสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่มีบทบาทหลักในการปกป้องสิทธิในความเป็นมนุษย์ตาม ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
แทบ ทุกย่อหน้าของรายงานฉบับดังกล่าว (แม้จะเป็นฉบับเลื่อนการเผยแพร่) คือ ข้อความที่มีความหมายเชิงปกป้องการกระทำของรัฐบาลว่าเป็นไปตามความจำเป็น ควรแก่เหตุ และข้อความพิพากษาตัดสินการชุมนุมของ นปช.ว่า รุนแรง มีอาวุธ ละเมิดสิทธิ์คนอื่น กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ฯลฯ
ผม คิดว่า “ข้อวินิจฉัยของ” กรรมการสิทธิฯ สะท้อนอย่างชัดเจนถึง “ความไม่สามารถ” แสดงออกซึ่งความเคารพต่อ “ความจริง” และ “ความหมาย” ของความตายของประชาชน!
คำว่า “ไม่สามารถ” มีความหมายสำคัญสองย่างคือ 1) ไม่สามารถสรุปความจริงที่สัมพันธ์กับบริบทที่ซับซ้อนอย่างครบถ้วน 2) ไม่สามารถแสวงหา และ/หรือนำเสนอความจริงออกมาได้อย่างตรงไปตรงมาและรอบด้าน เพราะว่าโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่เป็นอยู่จริงไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น ได้
ไม่สามารถตามข้อ 1) เกิดจากการไม่ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง และไม่มีความพยายามอย่างเพียงพอ ส่วนไม่สามารถตามข้อ 2) เกิดจากข้อจำกัดเนื่องจากถูกบีบโดยโครงสร้างอำนาจที่ปิดกั้นเสรีภาพในการ แสวงหา และพูดความจริงที่กระทบต่อโครงสร้างอำนาจนั้น
ความ ไม่สามารถทั้งสองประการนี้มีความความสำคัญคือ เป็น “ความไม่สามารถแสดงออกซึ่งการเคารพความจริง” ซึ่งเป็นการสะท้อนถึง “ความเจ็บป่วย” ของสังคมอย่างรุนแรง
คือสังคมนี้ รู้อยู่หรือพอจะรู้อยู่ว่าความจริงคืออะไร แต่กลับต้องจำทนเห็นการบิดเบือนความจริง เห็นทั้งการเสแสร้งไม่พูดความจริง ทั้งถูกบังคับไม่ให้พูดความจริง ทั้งการถูกจับติดคุกเพราะพูดความจริง ความเจ็บป่วยของสังคมเช่นนี้คือ อาการสูญเสียความเชื่อถือไว้วางใจซึ่งกันและกัน อาการขัดแย้งแตกแยก อาการสับสนในการตัดสินความเป็นธรรม-ไม่เป็นธรรม อาการความรุนแรงจิกตีกันเหมือนไก่ใน “สุ่มแห่งโครงสร้างอำนาจครอบงำประชาธิปไตย” ที่ฝ่ายหนึ่งอยากออกจากสุ่ม อีกฝ่ายจิกหัวกดไว้ให้อยู่ในสุ่ม
ผลสรุปของกรรมการสิทธิฯ สะท้อนความไม่สามารถสรุปความจริงที่สัมพันธ์กับบริบทที่ซับซ้อนอย่างครบถ้วน ในประเด็นสำคัญ เช่น
ข้อ สรุปที่ว่า การชุมนุมของ นปช.ใช้ความรุนแรงนั้น เป็นการให้ความหมายของ “ความรุนแรง” ตามนิยามของฝ่ายรัฐและฝ่ายตรงข้ามกับ นปช. ที่มองความรุนแรงที่เป็นปรากฏการณ์ที่เห็นอยู่เฉพาะหน้าเท่านั้น เช่น การปลุกระดม การใช้หนังสะติ๊ก ก้อนหิน เสาธงเป็นอาวุธ การพกพาอาวุธ การยิงระเบิดเอ็ม 79 การยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ ฯลฯ แต่ไม่สนใจว่าปรากฏการณ์ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นภายใต้บริบทอะไร มีความเป็นมาหรือสาเหตุอย่างไร ฯลฯ
ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ถ้าคนเสื้อแดงหรือฝ่ายใดๆ กระทำรุนแรงดังกล่าวเป็นการกระทำที่สมควรยอมรับ เพียงแต่ต้องการจะบอกว่า การมองความรุนแรงแบบกรรมการสิทธิฯ จะเปรียบไปแล้วก็เหมือนการมองเห็นเฉพาะน้ำที่เดือดปุดๆ แต่มองไม่เห็นถ่านเพลิงที่ลุกโหมอยู่ใต้กระทะน้ำร้อน
หาก น้ำที่เดือดปุดๆ คือความรุนแรงของคนเสื้อแดง ถ่านเพลิงที่ลุกโหมให้น้ำเดือดก็คือการทำรัฐประหารปล้นสิทธิประชาชน กระบวนการทำลายล้างพรรคการเมืองที่เสียงส่วนใหญ่เลือกโดยกลไกและเครือข่าย รัฐประหาร การก่อตั้งรัฐบาลอำมาตย์หนุน การกล่าวหาเรื่องขบวนการล้มเจ้า ขวนการก่อการร้าย การประณามเหยียดหยาม การเชียร์ให้ล้อมปราบ การล้อมปราบด้วย “กระสุนจริง” (กก.สิทธิฯเรียกตาม รบ.อย่างเซื่องๆ ว่า “ขอคืนพื้นที่”) “การกดทับ” สิทธิเสรีภาพหรืออำนาจปกครองตนเองของเสียงส่วนใหญ่โดย “เสียงส่วนน้อย” ของเหล่าอภิชน
เมื่อมี “การกดทับ” ก็เกิด “การดิ้นรน” เพื่อให้พ้นไปจากการกดทับนั้น แต่กรรมการสิทธิฯ กลับจงใจมองเห็นเพียง “การดิ้นรน” เท่านั้น และสรุปว่าการดิ้นรนเท่านั้นคือความรุนแรง!
ทัศนะ ต่อความรุนแรงที่เบี่ยงเบนเช่นนั้น ทำให้กรรมการสิทธิฯไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ความรุนแรงในรูปแบบของการดิ้นรนเพื่อให้พ้นไปจากการกดทับนั้น 1) มีระดับความรุนแรงน้อยกว่าความรุนแรงในรูปแบบของการกดทับ 2) มีเหตุอันสามารถเข้าใจได้ และควรแก่การเห็นอกเห็นใจ (แม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม)
เมื่อมีทัศนะต่อความ รุนแรงที่เบี่ยงเบนเช่นนั้น กรรมการสิทธิฯ จึงเห็นว่า ฝ่ายที่ใช้อำนาจกดทับกระทำการสมควรแก่เหตุ ไม่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หมายความว่าโดย “ดุลยพินิจ” ของกรรมการสิทธิฯ อำนาจกดทับซึ่งมีธรรมชาติของความรุนแรงยิ่งกว่าอยู่แล้วมีความชอบธรรมในการ ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนที่ดิ้นรนเพื่อให้พ้นไปจากการกดทับนั้น
ฉะนั้น จากการสรุปความจริงของ “ความรุนแรง” ที่เบี่ยงเบนดังกล่าวจึงนำไปสู่ความหมายของ “ความตาย” ที่เบี่ยงเบนไป คือในความเป็นจริงประชาชนตายเพราะการต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นไปจากการกดทับ หรือตายเพราะยอม “สละชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย” แต่จากข้อสรุปของกรรมการสิทธิฯ เท่ากับประชาชนตายเพราะชุมนุมโดยใช้ความรุนแรง หรืชุมนุมโดยละเมิดสิทธิคนอื่น กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ จึงถูกรัฐสังหารโดยควรแก่เหตุ
นี่คือความไม่สามารถ เคารพต่อความหมายของ “ความตาย” ของประชาชนที่สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่ไม่สามารถเคารพต่อความหมายของความตายดัง กล่าวนี้ ประชาชนจึงตายฟรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยทางการประเทศนี้ไม่เคยยกย่องวีรชน 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 อย่างจริงจัง
เรา จึงไม่รู้ความจริงอย่างเป็นทางการของความตายว่า ใครคือฆาตกรตัวจริง และฆาตกรนั้นถูกลงโทษจริง และความหมายอย่างเป็นทางการของความตายก็ไม่ได้ถูกนำมาศึกษาเรียนรู้ในระบบ การศึกษาของรัฐในฐานะเป็นความตายของวีรชนผู้สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยที่ อนุชนพึงจดจำ
จึงน่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่ข้อสรุปของกรรมการสิทธิฯ ใน พ.ศ.นี้ สะท้อนอย่างชัดเจนว่าประเทศนี้ยังไม่สามารถเคารพ “ความหมายที่แท้จริง” ของความตายของประชาชนที่สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย
แล้วจะมีหลักประกันอะไรว่า ประชาชนจะไม่ตายฟรีอีก และที่ยังมีชีวิตก็ต้องจำทนอยู่ภายใต้การกดทับต่อไป!