ที่มา ประชาไท
เมื่อ วัน ที่ 14 ก.ค.54 เวลา 9.00 -16.30 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้ออกนั่งพิจารณาคดีอาญา คดีหมายเลขดำที่ 1682/2553 ระหว่าง พนักงานอัยการฯ กอง 4 โจทก์ กับนายอัตพล วรรณโต จำเลยที่ 1 นายภาสกร ไชยสีเทา จำเลยที่ 2 ซึ่งถูกพนักงานอัยการฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 จำเลยทั้งสอง ร่วมกันวางเพลิงเผา เซ็นทรัลเวิลด์ จนเป็นเหตุให้นาย กิติพงษ์ สมสุข ซึ่งอยู่ในอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ถึงแก่ความตาย ในวันช่วงเช้า พนักงานอัยการได้นำนายเด่นอาชา รักษาคุณ ซึ่งเป็นพนักงานตำแหน่งช่างไฟฟ้า ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มาเบิกความเป็นพยานว่า ก่อนเกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อประมาณวันที่ 15-16 พ.ค. 2553 พยานได้พบเห็นชายอายุประมาณ 30 -40 ปี ในช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มที่ ลานจอดรถชั้น บี 1 แต่งตัวใส่กางเกงยีนส์และเสื้อยืดธรรมดา ไม่ได้ปิดบังใบหน้า ได้นำขวดเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งที่ปากขวดไม่มีฝาปิด แต่มีพลาสติกปิดไว้ที่ปากขวด มายื่นให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งนั่งพักผ่อนภายใน บริเวณลานจอดรถ ชั้น บี 1 ในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จำนวน 2 ขวด แต่พยานไม่ทราบว่าภายในขวดเครื่องดื่มชูกำลังนั้นจะบรรจุอะไรไว้ในขวด และ นายเด่นอาชา ได้เบิกความว่า ตนเองไม่เคยพบเห็นจำเลยทั้งสองมาก่อน
ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ พนักงานอัยการโจทก์ ได้นำตัวนาย อานนท์ เข็มเพ็ชร ซึ่งเป็นพนักงานควบคุมกล้องวงจรปิด (cctv )ของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ มาเบิกความโดยมีการเปิดซีดีประกอบด้วย ซึ่งซีดีนี้บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดของห้างฯ ซึ่งในกล้องวงจรปิดของห้างปรากฏว่า ไม่มีภาพของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด และนอกจากนี้ นายอานนท์ ได้เบิกความว่า คืนวันที่ 18 พ.ค.2553 ตนได้รับทราบจากหัวหน้าของตนว่า ผู้บริหารของห้างให้เตรียมตัวในการดับเพลิง เนื่องจากได้ยินข่าวจากผู้ชุมนุมว่าจะมีการวางเพลิงเผาห้างเซ็นทรัล โดยได้รับทราบข่าวนี้จากทางวิทยุสื่อสารของห้าง และในกล้องซีซีทีวีของห้างฯมีชายบุกเข้าไปในห้างฯ ฝั่งประตูห้างเซ็น ถนนพระราม 1 โดยใช้ถังแก๊สจุดให้ลุกไหม้ในบริเวณแผนกเครื่องสำอาง และขณะที่มีการลุกไหม้ฝั่งเซ็นทาวเวอร์ ในส่วนอื่นๆของห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ก็มีการลุกไหม้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
ศาลนัดไปเลื่อนสืบพยานโจทก์ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 เวลา 9.00 -16.30 ต่อไป
ทั้งนี้ ในคดีดังกล่าวมีผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คือ นายสายชล แพบัว อายุ 29 ปี ชาว จ.ชัยนาท และนายพินิจ จันทร์ณรงค์ อายุ 27 ปี ชาว จ.ชัยภูมิ โดยได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยไปก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ที่ศาลอาญาใต้ ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ โรงเรือนที่เก็บสินค้า จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จากกรณีเหตุเพลิงไหม้ อาคารเซ็นทาวเวอร์และอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ตั้งอยู่แยกราชประสงค์
โดยในการสืบพยานจำเลยทั้งสองในวันที่ 12 ก.ค. อัยการได้นำเจ้าหน้าที่ประจำห้องปฏิบัติการกล้องวงจรปิด CCTV ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ของ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เบิกความเป็นพยาน พร้อมกับนำพยานวัตถุ ซึ่งเป็นภาพที่บันทึกได้จากกล้อง CCTV รวม 6 จุดภายในอาคาร มานำสืบประกอบด้วย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ประจำห้อง CCTV ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับภาพที่ปรากฏในกล้อง CCTV ระบุว่าจะมีชายฉกรรจ์ที่มีผ้าปิดบังใบหน้า ประมาณ 10-20 คน ซึ่งบางคนมีผ้าพันคอสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ด้วย เข้ามาอยู่ภายในอาคาร และพยายามที่จะหาเชื้อเพลิง มาวางเพลิง โดยช่วงเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พยายามที่จะเจรจาด้วยแต่ไม่เป็นผลจนเกิดเพลิง ไหม้ครั้งแรกซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามเข้าระงับเหตุแล้ว แต่กลุ่มชายฉกรรจ์พยายามวางเพลิงอีกรอบสอง โดยเมื่อเหตุเริ่มลุกลามขึ้นพนักงานทั้งหมดต่างลงมาที่ลานจอดรถชั้น 1 ของอาคาร อย่างไรก็ดีเมื่อเสร็จสิ้นการเบิกความของพยานปากนี้แล้ว ศาลได้นัดสืบพยานปากต่อไปอีกครั้ง
คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2553 ระบุว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวก ร่วมกันชุมนุมและมั่วสุมกันบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยพวกจำเลยได้เข้าไปในบริเวณอาคารห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วใช้กำลังทำลายบานกระจกผนังอาคาร บานกระจกประตู อาคารเซ็นทาวเวอร์ อาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณห้างสรรพสินค้าดังกล่าวจนแตกเสียหายและยังเป็นการกีด ขวางการจราจร ขัดขวางต่อการประกอบกิจการของห้าง ทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายและเกรงกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน
นอก จากนี้ จำเลยทั้งสองกับพวก ยังได้ร่วมกันเข้าไปภายในบริเวณอาคารเซ็นทาวเวอร์และอาคารเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นทรัพย์โรงเรือนอันเป็นที่เก็บสินค้าของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา กษัตริย์ แล้วพวกจำเลยได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์จนทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ เผาอาคารเซ็นทาวเวอร์และไฟไหม้เผาทรัพย์สินต่างๆของผู้เสียหายที่ 1 ถึงผู้เสียหายที่ 270 รวมค่าเสียหายจำนวน 8,890,578,649.61 บาท และยังเป็นเหตุให้นายกิติพงษ์หรือกิตติพงษ์ สมสุขที่อยู่ภายในอาคารดังกล่าวถึงแก่ความตาย เหตุเกิดที่แขวง- เขตปทุมวัน กทม.
ที่มาบางส่วน: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์