ที่มา ประชาไท
วันเสาร์ที่ทุกคนน่าจะได้พักผ่อน แต่หลายคนอาจจะกังวลใจกับงานที่ทำในอาทิตย์ที่ผ่านมา หรืองานและเรื่องราวที่รออยู่เบื้องหน้าในอาทิตย์ถัดไป ข้าพเจ้าได้รับจดหมายน้อยฉบับหนึ่งจากศูนย์พิทักษ์สันติ จชต ที่ตั้งอยู่ที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา จดหมายลงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554 บรรยายถึงข้อความที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นและได้ยิน มีข้อความว่า
“ ข้าพเจ้านายนิเซ๊ะ นิฮะ ยังมีสติสมัญชญะดี ร่ายกายแข็งแรง หลังจากนี้ถ้าหากมีอะไรในกระบวนการซักถามในชั้น พ.ร.ก. ข้าฯ นายนิเซ๊ะ นิฮะ จะไม่ให้การใดทั้งสิ้น นอกจากจะยืนยันคำให้การเดิม ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นแก่ข้าฯ ไม่ว่าร่างกายหรือชีวิต หรือกรณีใดก็ตาม ข้าฯ ขอเขียนหนังสือนี้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐาน เพื่อดำเนินการต่อไป”
ลงชื่อ
ขอคัดค้าน พ.ร.ก.
1 ตุลาคม 2554
ลายมือและร่องรอยของจดหมายที่ถูกพับจนเล็ก บ่งบอกถึงที่มาและที่ไปของจดหมายได้ดี ด้วยเส้นสายตัวหนังสือที่หนักแน่น ชัดเจน นายนิเซ๊ะ นิฮะ ถูกจับกุมเมื่อเวลารุ่งเช้า วันที่ 16 กันยายน 2554 เจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้นบ้านนายนิเซ๊ะ นิฮะ ตำบลตะลุโบะ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี โดยมิได้แสดงหมายแต่อย่างใด และควบคุมตัวนายนิเซ๊ะ นิฮะ ไปยังค่ายทหารบริเวณโรงไฟฟ้าปัตตานี ถนนปัตตานี - ยะลา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ต่อมานายนิเซ๊ะ นิฮะ ถูกย้ายสถานที่ควบคุมตัวยังค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีในวันเดียวกัน มีรายงานว่านายนิเซ๊ะ ได้รับการปฏิบัติอย่างดีระหว่างการควบคุมตัวและได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ทหาร ที่ค่ายอิงคยุทธฯด้วยความสมัครใจต่อข้อซักถามต่าง ๆ
ภายหลังการควบคุมตัวตามอำนาจกฎอัยการศึกเป็นเวลา 7 วัน เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2554 นายนิเซ๊ะ นิฮะ ได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรกะพ้อ อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี จะยื่นคำร้องขอออกหมายควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยย้ายการควบคุมตัวไปที่ค่ายอิงคยุทธฯ และในวันที่ 26 กันยายน 2554 นายนิเซ๊ะ นิฮะ ได้ลงชื่อในบันทึกซักถามซึ่งเป็นการสิ้นสุดการควบคุมตัวและผู้ถูกควบคุมตัว ย่อมจะได้รับการปล่อยตัวตามระเบียบปฏิบัติที่ถือปฏิบัติกันมา แต่กลับถูกส่งตัวไปที่ศูนย์พิทักษ์สันติ จชต ที่ตั้งอยู่ที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา โดยนายนิเซ๊ะ นิฮะ ซึ่งสามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี ไม่ได้ทราบถึงข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยที่มีอยู่แต่อย่างใด อีกทั้งเขาก็ไม่มีโอกาสได้ชี้แจงกับศาลจังหวัดปัตตานีในวันที่ 22 กันยายน ในระหว่างที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอศาลจังหวัดปัตตานีออกหมายจับตามอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นครั้งแรก ถ้ามีโอกาสนายนิเซ๊ะ นิฮะ อาจจะพูดเป็นภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำกว่าตัวหนังสือว่า ผมขอคัดค้าน พ.ร.ก…
นับแต่วันที่ 26 กันยายน 2554 นายนิเซ๊ะ นิฮะ ถูกควบคุมตัวที่ศูนย์พิทักษ์สันติที่ตั้งอยู่ที่โรงเรียนตำรวจภูธร 9 จังหวัดยะลา ระหว่างนั้นการซักถามนายนิเซ๊ะ นิฮะ ได้รับการปฏิบัติอย่างดี และซักถามดำเนินไปด้วยคำถามเดิม ๆ เช่น คำถามเกี่ยวกับอาชีพ คำถามเกี่ยวกับกิจกรรมในสมัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ สมัยปฎิวัติรัฐประหารและการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 19 ปีที่แล้วในช่วงพฤษภาทมิฬ
ในวันที่ 29 กันยายน 2554 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอขยายการควบคุมตัวตามอำนาจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินหลังจากการควบคุมตัวอีก 7 วัน โดยนายนิเซ๊ะ นิฮะ ก็ไม่มีโอกาสได้พูดกับศาลที่เคารพว่า ผมขอคัดค้าน พ.ร.ก…………….
ในวันที่ 30 กันยายน 2554 ทนายความมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้รับคำร้องจากญาติว่าต้องการให้มีการ ปล่อยตัวนายนิเซ๊ะ นิฮะเนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ฯ ไม่ได้ซักถามประเด็นใดใดเพิ่มเติม การถูกควบคุมตัวโดยไม่มีเหตุจำเป็นตามกฎหมายนั้นไม่ตรงกับเจตนารมณ์ ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะนายนิเซ๊ะ นิฮะเป็นผู้บริสุทธิ์และยืนยันว่าจะว่าได้ให้การแก่เจ้าหน้าที่แล้วและยืน ยันคำให้การเดิม ทนายความฯ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีมีคำสั่งไต่สวนคำร้องขอขยายระยะเวลาการ ควบคุมตัว โดยขอให้ศาลเรียกเจ้าหน้าที่ผู้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการควบ คุมตัวและผู้ถูกควบคุมตัวมาไต่สวน และขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยตัวนายนิเซ๊ะ นิฮะ ผู้ถูกควบคุมตัว เพราะการควบคุมตัวบุคคลไว้ไม่มีเหตุจำเป็นตามสถานการณ์ฉุกเฉินแต่อย่างใด ย่อมกระทบต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และทั้งนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ทั้งนี้ ศาลไม่ได้เรียกให้มีการไต่สวนคำร้องในวันดังกล่าว ศาลฯจึงยังไม่ได้มีโอกาสได้ยินเสียงร้องจากนายนิเซ๊ะ นิฮะ ว่าผมขอคัดค้านพรก…………….
ศาลมีคำสั่งนัดไต่สวนผู้ร้องและผู้ร้องคัดค้านแลนายนิเซ๊ะ นิฮะ ผู้ถูกควบคุมตัว ในวันวันพุธที่ 5 ตุลาคม 2554 เวลา 09.30 น. ซึ่งเป็นเวลาอีกกว่า 5 วันหลังจากที่นายนิเซ๊ะ นิฮะ ได้มอบหมายให้ทนายความนำความมาเสนอต่อศาลเพื่อให้ศาลรับฟังแต่ศาลก็ยังคงไม่ ได้ยิน นายนิเซ๊ะ นิฮะ จึงได้เขียนจดหมายฉบับดังกล่าวส่งให้ญาติพับจนเล็กส่งออกมาให้คนภายนอกได้ รับรู้ความรู้สึกของตน
การออกหมายจับของศาลเพื่อการควบคุมตัวบุคคลอันเกิดจากดุลพินิจของเจ้า พนักงานฯ ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายพิเศษถูกตั้งคำถามเสียงดังมาโดยตลอด ด้วยการเปรียบเทียบความสัมฤทธิ์ผลของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สินของจำนวนผู้ถูกควบคุมตัวที่ได้รับการปล่อยตัวพร้อมกับจำนวนคดีที่ ศาลมีคำสั่งยกฟ้องมานานนับ 7 ปี จนเมื่อวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554 ภายหลังการบังคับใช้ พ.ร.ก.กว่า 5 ปี ได้มีประกาศราชกิจจานุเบกษาเรื่องคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับการพิจารณาคำร้องขอจับกุมและควบคุมตัวบุคคลตามพระราชกำหนดการ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยกำหนดหลักการสำคัญบางประการเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เช่น การขอศาลออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินให้นำข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ เกี่ยวกับการออกคำสั่งหรือหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในคำแนะนำประธานศาลฎีกาได้ระบุด้วยว่า ศาลจังหวัดที่เกี่ยวข้องต้องไต่สวนให้ได้ความก่อนออกหมาย ศาลควรสอบถามผู้ร้องว่า เคยมีการออกหมายจับและควบคุมตัวบุคคลมาก่อนที่ศาลใดหรือไม่ เพื่อมิให้มีการควบคุมตัวเกินระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งระบุว่าให้ผู้รับผิดชอบรายงานความคืบหน้าการจับกุมตามหมายต่อศาลทุก สามเดือนจนกว่าจะจับกุมได้ เมื่อจับกุมตามหมายจับได้แล้วให้จัดทำรายงานแจ้งต่อศาล หากเปลี่ยนสถานที่ควบคุมตัวให้รายงานให้ศาลทราบทันที เมื่อมีการปล่อยตัวไม่ว่าเมื่อใดก็ตามต้องแจ้งให้ญาติหรือผู้ที่ผู้ถูกควบ คุมตัวไว้ใจทราบและนำตัวผู้ถูกควบคุมตัวมาศาลที่ออกหมายจับเพื่อการปล่อยตัว ถ้าไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวศาลจะเพิกถอนหมายจับ หรือสั่งเป็นอย่างอื่นได้ หมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้กำหนดว่าเมื่อครบกำหนดหนึ่งปีหากไม่สามารถจับกุมบุคคลได้ ศาลอาจเรียกผู้ขอออกหมายมาสอบถามหรือเพิกถอนหมายจับได้ อีกทั้งประธานศาลฎีกากำหนดด้วยว่าถ้าการจับกุมและควบคุมตัวไม่เป็นไปตาม กฎหมาย ให้ศาลทำการไต่สวน มีคำสั่งให้นำผู้ถูกควบคุมตัวมาศาลเพื่อไต่สวนได้ เป็นต้น
จดหมายน้อยฉบับดังกล่าวเป็นเสียงร้องเรียกดังดังต่อสาธารณะฉบับแรกจากผู้ ถูกควบคุมตัว ทั้งที่มีผู้ถูกควบคุมตัวภายใต้อำนาจกฎหมายพิเศษหลายรายที่ ไม่สามารถเขียนหนังสือ ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางกฎหมาย ไม่สามารถมีทนายความร่างคำร้องขอคัดค้านการควบคุมตัว บางรายเคยมีรายงานว่า ถูกซ้อมทำร้ายร่างกายระหว่างการควบคุมตัว และเคยแม้กระทั่งไม่มีชีวิตที่ รอดกลับออกไปจากการควบคุมตัว เช่น กรณีนายสุไลมาน แนซา แม้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังอยู่ในขั้นตอนการไต่ สวนการตายของศาลฯ แต่มีเสียงสะท้อนการทำงานของนักสิทธิมนุษยชนและนักกฎหมาย มาโดยตลอดว่า ข้อร้องเรียนเรื่องการซ้อมทรมานผู้ต้องหาเดิมๆ นั้นไม่ควรนำมาเผยแพร่กันอีก นักสิทธิมนุษยชนได้แต่เรียกร้องปกป้องแต่ผู้ต้องสงสัย ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง ไม่คำนึงถึงสิทธิของผู้เสียหาย และความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ก่อการได้ฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์ไปเป็น จำนวนมาก เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ากฎหมายพิเศษมีเพื่อ สถานการณ์พิเศษที่ต้องการการบริหารจัดการเป็นพิเศษ ความเสียหายที่เกิดแก่ ผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งต้องได้รับการเยียวยาทั้งด้านการให้ความ ช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและความเป็นธรรมนั้นคือการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ
แม้ว่ารัฐบาลใหม่เองก็ยังไม่มีแนวทางออกทางการเมืองที่ชัดเจนเกี่ยวกับ จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ถ้าจะให้คนในรัฐบาลยกมือว่าใครได้รับผลกระทบจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาแล้วบ้าง คงมีคนยกมือขึ้นไม่มากก็น้อย พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ประกาศใช้ในพื้นที่กรุงเทพและ จังหวัดต่าง ๆในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 เป็นฉบับเดียวกับที่ประกาศใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเป็น ระยะเวลากว่า 7 ปีติดต่อกัน การยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือการทบทวนที่มาของกฎหมาย และการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นคงเป็นหน้าที่ผู้มีอำนาจในการกำหนดนิตินโยบายของรัฐบาลคง ต้องรับฟังทุกด้านและคำนึงถึงหลักการที่ว่า การบังคับใช้กฎหมายนั้นต้องมีมาตรฐานเดียวไม่ใช่สองมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคมประเทศที่เป็นจริง ดังนี้เสียงเรียกร้องของ ผู้ถูกควบคุมตัวแม้แต่เพียงรายเดียว เราทุกคนก็ต้องรับฟัง
ข้าแต่ศาลที่เคารพ ผมขอคัดค้าน พ.ร.ก...
......................
หมายเหตุ: นายนิเซ๊ะ นิฮะ นั้นปัจจุบันมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดปัตตานี เป็นปัญญาชนที่มีบทบาทในงานพัฒนาชุมชนตามวิถีชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น อดีตเป็นนักกิจกรรมนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี2535 ร่วมกับพรรคสานแสงทองซึ่งเป็นพรรคการเมืองนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง จากนั้นก็ได้มีบทบาทเกี่ยวข้องกับงานพัฒนาสังคมและชุมชนมาโดยตลอด หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬก็ได้มีโอกาสร่วมเคลื่อนไหวกับสมัชชาคนจน กระทั่งได้รับเลือกเป็นประธาน PNYS (กลุ่มนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง) เมื่อปีพ.ศ. 2537 และต่อมาก็ได้มีส่วนร่วมทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับองค์เครือข่ายภาคประชา สังคมอย่างต่อเนื่อง จนจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2540 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง