ที่มา thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย
หากความขัดแย้งของการเมืองไทยห้าปีที่ผ่านมา เป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รบกันกว่า 5 ปีเหมือนกัน ฝ่ายเสื้อแดง ก็เหมือนกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองที่ครึ่งแรกของสงคราม โดนพวกอักษะไล่โจมตีแตกกระเจิง รวมพลไม่ติด รุกไล่เสียเมืองไปมากมาย แต่ก็สามารถอดทนตั้งรับ จนสามารถยันข้าศึกไว้ได้ ไม่ถึงกับย่อยยับ และในปี 2552-2553 สภาพสงครามอยู่ในขั้นยันกัน แม้เสื้อแดงจะถูกไล่ฆ่าอย่างอำมหิตที่สุดที่ราชประสงค์ แต่มันก็เหมือนกับเป็นคานงัด สร้างแรงเหวี่ยงทางการเมือง เรียกคะแนนสงสารและความเห็นใจมาจากทุกภาคส่วนทั่วประเทศและทั่วโลก เกิดการรวมพลังที่เหนียวแน่นมากกกว่าเดิม ตีโต้กลับจนฝ่ายอำมาตยาธิปไตย แตกพ่ายเสียเมืองให้กับฝ่ายเสื้อแดง
ก็เหมือนกับสงครามโลกครั้งที่ สอง ฝ่ายอักษะนั้นมีทรัพยากรจำกัด เยอรมันนี แม้มีกองทัพใหญ่โต เข็มแข็ง แต่ทรัพยากรมีจำกัด การรบต้องเอาชนะในรอบเดียว หากรบยืดเยื้อก็เจอ "แรงเสียดทาน (Attrition) ของสงคราม ทำให้พ่ายแพ้ในที่สุด เนื่องจากกำลังคน ทรัพยากรมีจำกัด เสียหายแล้วหาทดแทนไม่ได้ ยิ่งรบแตกหัก ก็เสียกำลังพลมาก หามาทดแทนไม่ได้ หากไม่ชนะ ฝ่ายสัมพันธมิตรรวมพล รวมทรัพยากรได้ ตีโต้ ก็ปิดฉาก แพ้ราบคาม ถอยร่นทุกแนวรบ ฮิตเลอร์ต้องฆ่าตัวตาย มุสโสลินีโดนยิงเอาไปแขวนคอ อย่างที่เห็นในประวัติศาสตร์
ฝ่ายอำมา ตยาธิปไตยของไทยก็เช่นกัน มีกำลังยิ่งใหญ่ ใหญ่โต จนมองไม่เห็นจุดอ่อนของตนเหมือนกับฮิตเลอร์ รุกรบด้วยความย่ามใจ ไม่สนใจ "จริยธรรม คุณธรรม ความเป็นธรรม" ใดๆ ทั้งสิ้น มุ่งแต่จะเอาชนะด้วยวิธีการที่ชั่วร้าย สุดท้าย ไม่อาจปราบฝ่ายทักษิณให้ราบคาบได้ อำมาตย์มี "ทรัพยากรทางการเมือง" (หมายถึงแรงสนับสนุนของประชาชน) จำกัด เมื่อรุกรบเอาชนะเด็ดขาดไม่ได้ ศรัทธาของคนถดถอย เหลือแต่ทหาร กับตุลาการ และชนชั้นสูง แต่เสียทรัพยากร คือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไป ขาดแรงสนับสนุนจากคนส่วนใหญ่ รบต่อไปในระยะยาว ก็พ่ายแพ้ในที่สุด
ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เสื้อแดง ออกรบ โดยเป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ฝ่ายตั้งรับ เหมือนห้าปีที่ผ่านมา การสะสมกำลัง ความเข็มแข็ง ผ่านการต่อสู้ด้วยเลือดและน้ำตา มากว่าห้าปี หวังว่าคงสร้างประสบการณ์ให้กับคนเสื้อแดง ในการรุกที่ทรงพลัง
แนวรบมีหลายด้าน ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคประชาชนเสื้อแดง สื่อ และนักวิชาการ
ปีนี้เสื้อแดงมีความเข็มแข็งทั้งกำลังคน และอุดมการณ์
มี แรงเสียดทาน ที่เป็นจุดด้อยอยู่อย่างเดียว "คือพวกอนุรักษ์นิยม" ในพรรคเพื่อไทย ที่คอยแต่จะฉุดรั้ง เหนี่ยวรั้ง และหาทางคุกเข่าขอประนีประนอมกับอำมาตย์ การฉุดรั้งคนส่วนใหญ่ ของพวกอนุรักษ์นิยมในพรรคเพื่อไทย (เฉลิม + เสนาะ และพวกชอบกราบ) มีแต่จะทำให้การรบทั้งมวล การเอาชนะศึก อ่อนแอลง
สงครามหากไม่เผด็จ ศึก มีแต่จะสร้างความโหดร้ายต่อประชาชน เพราะการรบที่ไม่จบสิ้น สันติภาพจะไม่คืนมา ภาวะสงครามเย็นที่บั่นทอนความเข็มแข็งของสังคมไม่จบสิ้น ก็จะดำรงอยู่เป็นการทำลายประเทศชาติและสังคมในที่สุด
แม่ทัพที่ ลังเล ในการเอาชนะศึก คือ แม้ทัพที่โหดร้าย ต่อไพร่พลฝ่ายเดียวกันเอง สงครามที่ยืดเยื้อมีแต่การทำลายทุกฝ่าย แม่ทัพที่ใจอ่อน มีแต่จะสังหารพวกเดียวกันเองในบั่นปลาย เพราะถึงอย่างไร "คุณธรรมของสงคราม" คือการเอาชนะศึก หากไม่ชนะศึก สงครามก็ไม่จบสิ้น สงครามที่ยังรบกันต่อ คร่าทั้งชีวิต ทรัพยากร คุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้คน
หวังว่าปี 2555 พรรคเพื่อไทย ทักษิณ และคนเสื้อแดง จะสามารถตัดสินใจ กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะจบสงครามความขัดแย้งนี้ได้อย่างถูกต้อง
อำนาจ ของอำมาตย์มาจากกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ให้กลไกอำมาตย์ในสถาบันต่างๆ กฎหมายสามารถแก้ไข ยกเลิกได้โดยรัฐสภา รัฐสภามาจากประชาชน คนเสื้อแดงกุมเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเอาไว้ ย่อมสามารถแก้ไขยกเลิกกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมได้
ยุทธศาสตร์ก็เห็นๆ อยู่ ไม่จำเป็นต้องโง่เขลา ไปกลัวซากศพของขงเบ้งที่ทำเป็นนั่งรถม้า จนสะดุ้งผวาแบบสุมาอี้ จนเสียโอกาสเผด็จศึก จบสงครามไป