ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
บทความ วันนี้ เป็นปฐมบทของ พ.ศ.ใหม่ ผู้เขียนไม่อยากให้มีความเข้มข้นมากนัก เนื่องจากยังเป็นเวลาสบายๆของคนไทยเรา จึงอยากนำเรื่องเบาๆ มาสนทนากับท่านผู้อ่าน ก่อนที่จะเขียนวิพากษ์วิจารณ์แบบตะลุมบอนเหมือนเดิม ในสัปดาห์ต่อๆไป
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้คนไทยดูจะยำเกรงธรรมชาติกันมากขึ้ง ทั้งๆที่พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติเรานั้น ได้สอนให้คนไทยรู้และเข้าใจธรรมชาติ อันเป็น
‘ธรรมะ’ สำคัญ แต่น่าที่เสียดายอย่างยิ่ง ที่แม้ชาวเราจะรู้ในข้อนี้ กลับดำรงชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ แถมยังบังอาจหักหาญ ทำลายธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง เพราะความโลภและหลง จนลืมความถูกต้องชอบธรรม จนในที่สุดธรรมชาติได้ส่งผลร้ายแรง
อย่างยิ่ง ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันแล้ว
พอน้ำแห้งลง เราก็พบ “ขยะ” จำนวน มหาศาล อย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งเป็นภาระที่ทั้งเจ้าของบ้าน และเทศบาล องค์กรท้องถิ่นต่างๆ รวมถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ประสพภัย จะต้องดำเนินการกำจัดไปตามหน้าที่แห่งตน
ทาง กทม.เองนั้น มีปัญหาเรื่องนี้ จนถึงขั้นต้องมีรายการ ปลดผู้อำนวยการเขต โทษฐานที่ไม่เอาใจใส่ ในการจัดการกับปัญหาขยะล้นเขต ในความรับผิดชอบของตนไปแล้ว 1 ราย
ท่ามกลางเสียงประชาชน ที่พากันบ่นเรื่องขยะล้นเมืองอย่างหนาหู แต่กลับมีรายงานข่าวว่า
บรรดาซาเล้งที่มีอาชีพเก็บขยะ มีรายได้เพิ่มจากเดิมหลายเท่าตัว ทำให้ใครก็ตาม ที่คิดว่างานเก็บขยะเป็นงานต่ำ แต่คนที่ร่ำรวยจากการค้าขายขยะ จนมีทรัพย์สินหลายสิบล้านบาท ก็มีให้เห็นกันแล้ว และที่น่าทึ่งมาก ก็คือ
ขยะเพียงจุดเดียว อย่างที่สถานีรถไฟจังหวัดพิษณุโลก มีคนจากสามครอบครัวมาเก็บขยะจากจุดนี้ สามารถเลี้ยงครอบครัวของพวกเขาได้เลย
น่าประหลาดใจนัก!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
มหาอุทกภัยครั้งนี้ ถือเป็นความ “วิบัติ” โดยแท้ แต่ขอให้ท่านทั้งหลาย จำคำของผมเอาไว้ให้ดี ว่า
เมื่อมี “วิบัติ” แล้วจะมี “อุบัติ” ควบคู่ไปด้วยกัน ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ
สิ่งที่ “อุบัติ” ขึ้นหลังน้ำท่วมครั้งร้ายแรงนี้ ทำให้เราเห็นทั่วกันคือ นวัตกรรมใหม่ๆที่เกิดจากภูมิปัญญาของคนไทย ทั้งจากผู้ประสบความเดือดร้อน และนักประดิษฐ์ทั้งสมัครเล่นและอาชีพ ที่มุ่งหวังจะช่วยพี่น้องชาวไทยด้วยกัน เช่น
ส้วมกระดาษ สุขาลอยน้ำ แผ่นพลาสติกห่อรถกันน้ำเข้า ประดิษฐ์กรรมจากของเหลือใช้ต่าง เช่น ขวดน้ำพลาสติก ฯลฯ
ผมฟังข่าวจากกรมทรัพย์สินทางปัญญาว่า มีผู้ยื่นขอจดสิทธิบัตรนวัตกรรมใหม่ๆ อันเป็นผลมาจากน้ำท่วมครั้งนี้หลายรายแล้ว ซึ่งมีหลายรายการที่สามารถจดสิทธิบัตรได้
นี่คือ “อุบัติ” ที่เป็นผลมาจาก “วิบัติ” โดยแท้!
นวัตกรรมใหม่ที่ผมสนใจมากคือ หลังจากน้ำลดลง เมื่อเจ้าของบ้านที่ถูกน้ำท่วม เข้าฟื้นฟูบ้าน ก็พบกับปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะ “รา” ที่ขึ้นตามผนัง และเครื่องเรือนต่างๆ ซึ่งกำจัดได้ยากยิ่ง
ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เขาก็คิดค้นน้ำยากำจัดเชื้อราขึ้น และแจกให้ราษฎรผู้เดือดร้อน ไปรับได้ฟรีๆ ซึ่งเขาให้ชื่อได้ถูกใจคนเขียนมาก คือ
“รา-อเวย์”
คำว่า”อเวย์” เป็นภาษาฝรั่ง คือ Away ซึ่งแปลว่าไปทางอื่น หรือจากไป เมื่อเอามาตามหลังภาษาไทย คือคำว่า “รา” ก็คงมีความหมายว่า น้ำยาที่ทางสถาบันนี้ คิดค้นให้ผู้คนได้ใช้กันนั้น จะทำให้ “เชื้อรา”ต้อนยอมจำนน และจากไปแต่โดยดี นั่นคือการกำจัด “รา” ที่ได้ผลนั่นเอง
เก๋ไก๋มาก ทั้งเรื่องน้ำยา และชื่อของผลิตภัณฑ์ ต้องขอ
ยกย่องไว้ ณ ที่นี้!
อย่างไรก็ตาม ผมหวังว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันได้บทเรียนสำคัญจากภัยพิบัติในครั้งนี้ และจะต้องมีแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมชัดเจนออกมา ให้ชาวบ้านเห็นเป็นรูปธรรม และที่สำคัญคือ
มาตรการต่างๆที่จะมีติดตามมา จะต้องได้รับความเชื่อถือ และความมั่นใจจากพี่น้องประชาชน ที่สำคัญคือ จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ซ้ำอีกไม่ได้แล้ว เพราะนั่นหมายถึง...
‘จุดจบ’ ของรัฐบาลนี้ด้วย!
ปีใหม่ นี้ คนไทยดูจะมีความสุข ระหว่างการเปลี่ยนศักราชกันมากขึ้น อาจเป็นเพราะบ้านเรา เพิ่งผ่านปีที่เลวร้ายของมหาอุทกภัย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็มีความหวังว่า ชาติไทยของเราจะต้องก้าวหน้ากันต่อไป ด้วยความรุ่งเรืองสดใสมากกว่าทุกๆปี
สำหรับตัวผู้เขียน นึกเสียดายที่ผมพลาดโอกาสที่จะไปยืนบนสันเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก ตามคำเชิญชวนของทางผู้บริหารเมืองนั้น เพราะก่อนหน้ามีคำทำนายจาก ‘เด็กชายปลาบู่’ ที่ตายไปนานหลายปีแล้ว แต่ข่าวบอกว่า บิดาของเด็กชายคนนี้ ได้นำคำทำนายของเด็กคนนี้ออกมาเปิดเผย โดยบอกว่า
เด็กได้ทำนายเหตุการณ์ร้ายๆไว้อย่างถูกต้อง แล้วสื่อที่ไม่ชอบรัฐบาลของนายกฯปู นำเอามาเปิดเผยกันเป็นที่ครึกครื้น
คำทำนายของ ‘เด็กชายปลาบู่’ ที่สร้างความฮือฮามากหน่อยก็คือการทายทักว่า เขื่อนภูมิพลจะแตกคืนวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านมา แต่ปรากฏว่า
เขื่อนสำคัญของบ้านเรา ยังมั่นคงดีอยู่ และคำทำนายก็กลายเป็นเรื่อง “ตอแหลตอหลด-ตดใต้น้ำ” ไป เหมือนอย่างคำทำนาย “ขยะ” อีกหลายๆเรื่องเคย แต่ครั้งนี้คนเมืองตากเขาไม่ยอม เลยมีการแจ้งความเอาผิดกับผู้เผยแพร่ข่าว ในความผิดฐาน
ทำให้ ‘ตกใจกลัว’ กันบ้าง!
เรื่องการออกมาเขย่าขวัญผู้คนอย่างนี้ พวกโหรหรือหมอดูทำเป็นประจำโดยผ่านคำทำนาย “ขยะ”ของพวกเขา และมักโดนด่าว่าเป็น ไอ้โหนต่องแต่งบ้าง โหนจังไรบ้าง โหนระยำบ้าง ฯลฯ แต่คนพวกนี้ก็ไม่เคยเข็ด หาเรื่องตอหลดตอแหลไปได้เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าทางองค์การนาซ่า เขาแถลงออกมาเป็นเรื่องเป็นราวว่า
วันสิ้นโลก...เป็นเรื่องเหลวไหล!
แต่...ไอ้พวกนี้ก็คงไม่หยุด และคงต้องหาเรื่อง ‘แถ’ ไปจนได้
ไม่เชื่อก็คอยดูกัน!!
ผมสังเกตเห็นว่า บรรดานักพยากรณ์บ้านเรานั้น ได้แบ่งกันเป็นค่ายเป็นสี เหมือนกับวงการอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร เพราะแม้กระทั่งนักศึกษา ว.ป.อ. ซึ่งก็เป็นผู้ใหญ่ในวงราชการ วงการธุรกิจการค้า และอื่นๆ ยังแบ่งกันเป็นเหลือง-เป็นแดง แล้วอย่างนี้
จะสำมะหาอะไร กับวงการหมอเดา-หมอดู!
การแบ่งค่ายของคนกลุ่มนี้นั้น มีสื่อหนังสือพิมพ์คือ ‘มติชน’ นำมาลงเผยแพร่ให้ชาวบ้านรู้ แม้ไม่ได้บอกชัดเจนว่า คนไหนเป็นสีอะไรหรืออยู่ค่ายไหน แต่ก็พอเดากันได้ยาก เพราะทางมติชนแยกประเภทไว้ จึงทำให้คนอ่าน มองเห็นสีของค่ายที่คนพวกสังกัด โผล่ขึ้นมาเอง ดังนี้
- หมอดูที่เชียร์รัฐบาลเก่า ก็จะมีคำทำนายออกมาว่า พรรคประชาธิเปรต จะได้เป็นรัฐบาลต่อไป แต่หมอดูฝ่ายตรงข้าม ก็ออกคำทำนายไปคนละทิศ
- หมอดูที่ไม่ฟันธง ว่าพรรคไหนจะได้เป็นรัฐบาล แต่พูดออกเป็นกลางแบบนวลๆ โดยอาศัยตอหลดด้วยคำทำนายแบบมีเงื่อนไข เพื่อเปิดช่องเอาไว้ให้ตัวเองสามารถแก้ไข หรือซ่อมแซมคำทำนายของตนได้ เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว
กลุ่มนี้...เป็นพวกเอาตัวรอด!
- หมอดูฟันธงขาดลงไปเลย ว่าคุณยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯอย่างแน่นอน ใครที่กล้าทำนายอย่างนี้ได้ ก็จะได้รับการยกย่องมาก แต่ที่เห็น....
ดูจะมีเพียงรายเดียวเท่านั้น ที่แม่นจน...ขนลุก!!
หมอดูที่ปั่นกระแสตัวเองขึ้นมาไม่นาน แต่มาทำนายทายทักผิดพลาดอย่างจัง ที่พอจะยกเป็นตัวอย่าง ก็คือ นายกรหริศ บัวสรวง ที่ทำนายว่า คุณยิ่งลักษณ์ฯจะไม่มีทางได้เป็นนายก แต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ กลายเป็น ‘นายกฯปู’ ไปแล้ว อีตาคนนี้เลย
เสียหน้าอย่างแรงไป
ไม่น่าเชื่อว่า ขนาดดูผิดดูพลาดอย่างนาย กรหริศฯ ยังดันทะลึ่งผลิตทำคำนายที่น่ากลัว ออกมาเขย่าขวัญชาวบ้านอีกตอนช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยทำนายว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆนาๆ ผมไม่อยากนำมาเผยแพร่ซ้ำ แต่มีผู้มาถามความเห็นจากผม ว่า
มันจะเป็นความจริง ตามที่ไอ้เจ้านี่...มันทำนายหรือไม่?
จึงตอบเขาไปว่า
ในทัศนะส่วนตัวของผมแล้ว ที่ไอ้หมอเดาคนนี้มันพูด ไม่ใช่
‘คำทำนาย’ แต่น่าจะเรียกว่า ‘คำทำลาย’ เพราะการออกมาทำนาย ไม่เป็นมงคลอย่างนั้น และเมื่อย้อนหลังไปถึงคำทำนายเก่าที่ผิดพลาดของเจ้าตัว ทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะต้องบอกกัน ว่า
นี่เป็นการจงใจออก ‘คำทำลาย’ ความเชื่อมั่นรัฐบาลชุดปัจจุบัน และทำลายขวัญกำลังใจของประชาชน
อย่างแท้จริง!
ฉะนั้น ผมไม่มีวันเชื่อไอ้หมอเดาตัวนี้ เพราะมันทายผิดซ้ำๆซากๆแล้ว ยังเสือกหน้าด้าน ออกมาทำนายทายทักอีก!
ทุเรศ...ชิบหาย!!
ท่านที่ตามอ่านบทความของ ‘วาทตะวัน’ มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่า
ผู้เขียนเชื่อมั่นว่า ‘คุณปู’ เธอจะเป็นนายกฯไปอีกยาวนาน ไม่ใช่แต่ผมว่าคนเดียวนะครับ แต่มีพระเกจิ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส วัดถ้ำค้างคาว คือ พระครูวิจิตรสุธาการ หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า “พระอาจารย์นวย” ทำนายเอาไว้อย่างชัดเจน ก่อนการเลือกตั้งว่าคุณยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกฯ และคำทำนายนั้น
แม่นยำนัก!
พระอาจารย์รูปนี้ เป็นผู้เปลี่ยนชื่อให้นักเรียนเตรียมทหาร
รุ่นเดียวกับผม และนั่งเรียนติดกันตั้งแต่ปีแรก จากเดิมชื่อ “สมภพ” เป็น “สมทัต” ซึ่งต่อมาได้พระราชทานยศเป็นพลเอก และได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด จนเกษียณจากราชการไปหลายปีแล้ว
นอกจากนั้น พระอาจารย์นวยยังเปลี่ยนชื่อให้นายทหารและนายตำรวจอีกหลายนาย ซึ่งโชคชะตาของผู้ได้รับการเปลี่ยนชื่อ ก็แปรไปในทางที่ดีขึ้นกันทั้งนั้น เช่น พล.อ.ณพล บุญทับ (จากเดิมชื่อ “เรวัต”) อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 และรอง ผบ.ทบ.เป็นต้น
ผมขอคัดข้อความจาก "มติชนออนไลน์" ซึ่งได้สัมภาษณ์พระครูวิจิตรสุธาการ หรือ “พระอาจารย์นวย” ในหลายประเด็นที่ผู้คนอยากรู้ โดยเฉพาะคำถามที่ทุกคนอยากทราบมากที่สุด คือ
ใครจะได้เป็น ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป!?
“มติชนออนไลน์" ลงไว้ตั้งแต่ วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ก่อนการเลือกตั้งเกือบ 2 เดือน ดังนี้
"พระครูวิจิตรสุธาราม" ตอบแบบฟันธงในทันทีว่า
"คุณยิ่งลักษณ์จะได้เป็นนายกฯ คนต่อไป ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม" คนไทยจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ และจะได้นั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำประเทศถึง...2 สมัย!
“เพื่อไทยจะได้เสียงเกินครึ่ง คือ 250 เสียง ส่วนประชาธิปัตย์จะได้ไม่ถึง 200 เสียง เพราะคุณยิ่งลักษณ์มีพลังในตัวสูงถึงระดับ 19 เทียบเท่ากับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเลข 19 ในทางโหราศาสตร์ถือเป็นเลขดี เลขจักรพรรดิ ขณะที่ดวงชะตาของคุณอภิสิทธิ์ในช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก จะสู้กับใคร ก็แพ้เขาหมด เพราะฉะนั้น หลังจากแพ้การเลือกตั้ง คุณอภิสิทธิ์ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเปลี่ยนหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อให้สู้กับคุณยิ่งลักษณ์ได้ในสมัยหน้า"
อย่างนี้แหละครับ ที่ผมว่าแม่นจน... “ขนลุก”
อยากจะเรียน กับท่านผู้อ่านว่า
มีพวกที่ชอบ ‘ได้-เสีย’ จาก การพนันขันต่อ ซึ่งมีความมั่นใจในคำทำนายของพระครูวิจิตรฯ เท่าที่ผมเห็นก็สองคนแล้ว ซึ่งหอบเงินก้อนใหญ่ จากการต่อรองผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เห็นคำทำนายของ ‘หลวงพ่อวัดถ้ำค้างคาว’ อย่างนี้แล้ว
ต้องฝากบอกไปยังไอ้พรรคฝ่ายค้านโลซก ให้รีบเปลี่ยนเอาไอ้
มุกควาย ออกไปจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสียที
จะเอานาย ‘กรณ์ เมียแก่’ หรือนาย ‘เทพไท ลูกถ้วย’ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคดักดาน ก็ยังมีโอกาสดีมากกว่า ‘มิสเตอร์
มุกควาย’ คนเก่า
หากบรรดาสมาชิกพรรคโลซก ยังขืนให้ไอ้หมอนี่ มันนำทัพสู้ศึกเลือกตั้งอีกกี่ครั้ง ก็คงจะแพ้ซ้ำๆซากๆต่อไปอีก เพราะนอกจากบริหารบ้านเมืองไม่เป็นแล้ว ชาวบ้านเขาชังน้ำหน้า เต็มประดาอีกด้วย!
เปลี่ยนเสียที...ดีกว่าไหม!!?
เผื่อว่า...หลังจากนายกฯที่สวมรองเท้า ส้นสูงสองนิ้วครึ่งคนปัจจุบัน อยู่ครบสองสมัย ตามคำทำนายของพระอาจารย์นวย เจ้าอาวาสวัดถ้ำค้างคาวแล้ว และเมื่อถึงการเลือกตั้งอีก...
เจ็ดปีกว่าๆ...ข้างหน้าโน้นนนนนนนนนนน...
พรรคดักดานจะได้ไม่ ‘แพ้’ ทะรูดทะราด จนดูน่าเกลียดน่าชังอย่างครั้งที่แล้ว หรือเปลี่ยนหัวหน้าแล้ว ดวงของพรรคอาจดีขึ้น พอมีโอกาส...
ลุ้นสู้กับ ‘นายกฯปู’ หรือหลานๆของเธอ ที่จะสมัครชิงตำแหน่ง นายกฯประเทศไทยคนใหม่อย่าง...
คุณน้อง “พิณทองทา” หรือ คุณหนู “แพทองธาร”ได้บ้าง!!!?
.......
โชคดี มีสุข ทุกท่านครับ
ด้วยความเคารพ
วาทตะวัน
**************
( ***บทความประจำสัปดาห์ ตอน คำทำนาย…คำทำลาย!!! ออนไลน์ วันเสาร์ ที่ 7 มกราคม 2555)