ที่มา ประชาไท
ส่งท้ายปี ทีมประชาไท รวบรวมคมคำเด็ดๆประจำปีที่กลายเป็นวลีและประโยคฮิตทั้งในสังคมออฟไลน์และออ นไลน์ ย้อนความทรงจำที่มาที่ไป และแรงกระเพื่อมจากถ้อยคำ ซึ่งหลายคำกลายเป็นผลสะเทือนต่อคนพูดเอง ขณะที่อีกหลายถ้อยคำ ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างหลากหลาย แต่ที่แน่ๆ ล้วนถูกพูดขึ้นมาในจังหวะร้อนและสะท้อนความสนใจของสังคมไทยในสถานการณ์ที่ ช่วยก่อกำเนิดถ้อยคำเหล่านี้ขึ้นมา
0 0 0
สำหรับ Quotes of The year ประจำปีนี้ ประชาไทขอยกให้กับวลี/ประโยคเหล่านี้
- เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า
- ดีแต่พูด
- เอาอยู่ค่ะ
- คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ
- ขอแชร์นะ
- ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิต
- เราคืออากง
- Forgive and Forget และ ไม่แก้แค้นแต่แก้ไข
- นี่เราพูดอะไรโง่ๆ มากเกินไปหรือเปล่า
"คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ"
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
23 มิถุนายน 2554
ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ แยกราชประสงค์
เป็นคำพูดของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่ลานหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ แยกราชประสงค์ เมื่อ 23 มิ.ย. 54 อันเป็นช่วงใกล้โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 54 โดยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหารไม่ได้สลายการชุมนุม 10 เมษา 53 และการสลายการชุมนุมรอบเดือนพฤษภา 53 ทำแต่เพียงขอคืนพื้นที่และยิงเพื่อป้องกันตัว และยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง พร้อมเปิดใจว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต “ผมต้องสารภาพ คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ”
“จนถึงวันนี้ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่า เจ้าหน้าที่เขามีเหตุผลอะไรที่จะไปยิงประชาชน ที่จะไปยิงรถดับเพลิง ที่จะไปยิงรถพยาบาล ความจริงเรื่องนี้ต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่การมายัดเยียดว่าความตายที่เกิดขึ้นที่วัดปทุมฯ เป็นเพราะผมสั่งฆ่า หรือความสูญเสียที่นับรวมไปเป็นจำนวน 91 คนนี่แหละครับ มันเป็นธรรมแล้วหรือที่จะบอกว่าเป็นเรื่องของผมที่เป็นฆาตกรที่สั่งฆ่าที่ มือเปื้อนเลือด” [1], [2]
การปราศรัยที่ราชประสงค์ ถือเป็นการเปิดประเด็น/เดินยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการจากอภิสิทธิ์ และแกนนำสำคัญในพรรคอย่าง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” โดยกล่าวหาว่าคนเสื้อแดง “เผาเมือง-ก่อการร้าย” เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง และเผาอาคารสถานที่ในช่วงสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 53
หลังจากที่ก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์ได้ “เกริ่น” ในบทความ “91 ศพสังเวยความต้องการใคร” และระหว่างการหาเสียงที่วงเวียนใหญ่เมื่อ 16 มิ.ย. 54 ที่เขากล่าวว่า “ไม่เคยคิดฝันว่าในชีวิตของตนหลังจากที่เราเสียกรุงไปสองครั้งแล้ว จะมีคนซึ่งเป็นคนในชาติมาเผาบ้านเผาเมืองของพวกเรากันเอง” [3]
และถือเป็นแคมเปญหาเสียงแบบเทไพ่หมดหน้าตักของ “อภิสิทธิ์/ประชาธิปัตย์” หลังกระแสโพลก่อนวันเลือกตั้งจริงเริ่มตามหลัง “เพื่อไทย/ยิ่งลักษณ์” ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ และ กทม. ทั้งที่ช่วงประกาศยุบสภาเมื่อ 9 พ.ค. กระแสยังเป็นของ “ประชาธิปัตย์/อภิสิทธิ์”
ในวันที่ 25 มิ.ย. อภิสิทธิ์เขียนบทความย้ำในเฟซบุคอีกครั้งให้ประชาชนร่วมกันปฏิเสธ “ระบอบทักษิณ” และในวันเลือกตั้ง “คนไทยจะเป็นผู้ถอนพิษทักษิณออกจากประเทศนี้” [4] และเมื่อ 1 ก.ค. ในการปราศรัยโค้งสุดท้ายที่ลานพระบรมรูปทรงม้า อภิสิทธิ์ได้ย้ำอีกว่าพรรคเพื่อไทย “แก้ปัญหาคนๆ เดียว” พร้อม “ขอโอกาส 4 ปี” เพื่อ “สมานบาดแผลในแผ่นดิน” และก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีกว่า “อยากให้ประชาชนตัดสินใจให้เด็ดขาดเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งให้ชัดเจน” พร้อมมั่นใจว่าจะได้ ส.ส. ไม่ต่ำกว่า 250 ที่นั่ง [5]
ไม่รู้ว่าทุกคืน อภิสิทธิ์ยังร้องไห้อยู่หรือไม่ แต่ผลการเลือกตั้ง 3 ก.ค. 53 จบลงด้วยชัยชนะ “เด็ดขาด” ของ “เพื่อไทย” ขณะที่ “ประชาธิปัตย์” ได้ที่นั่ง ส.ส. เพียง 159 ที่นั่ง ซึ่งไม่เป็นไปตามเป้า โดยอภิสิทธิ์ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคในวันถัดมา แต่ก็ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งหลังการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชา ธิปัตย์ 6 ส.ค. 53