ที่มา Thai E-News
ที แรกว่าจะไปเยี่ยมดา ตอร์ปิโด วันที่ 30 ธันวาคม 2554 วันสุดท้ายของการทำงานปี 2554 โดยถือโอกาสไปสวัสดีปีใหม่กับดา ด้วย แต่โทรศัพท์จาก อ.หวาน ทำให้ผมต้องไปก่อน ไม่ใช่สิ ไปเยี่ยมดาเพิ่มขึ้นอีกครั้งในวันที่ 19 ธันวาคม 2554
ก่อน อื่นขอชี้แจงเรื่องเงินที่มีคนฝากให้ดา พอผมโพสต์ว่าจะไปเยี่ยมดา ก็มีคนฝากเงินให้ดาผ่านมาทางผมให้ดา 3 คน รวมทั้งหมด 5,000 บาท ในวันที่ 19 ธันวาคม 2554 ที่ผมไปเยี่ยมดา ผมได้ฝากเงินเข้าบัญชีให้ตามที่ดา บอก 1,000 บาท ส่วนอีก 1,000 บาท ดาบอกให้ซื้อของให้ เป็นเงิน 649 บาท เหลือเงินส่วนนี้ 351 บาท เงินส่วนที่เหลืออีก 3,000 บาท ดาบอกให้โอนเข้าบัญชีพี่ชายเขา เพื่อเขาจะได้มีค่ารถมาเยี่ยมดาได้ ผมได้โอนเข้าบัญชีพี่ชายดา..นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล จำนวน 2,975 บาท ผ่านทาง ATM ที่โอนเพียง 2,975 บาท เนื่องจากมีค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างธนาคาร(และต่างจังหวัด)อีก 25 บาท
เงิน ส่วนที่เหลือ 351 ในวันที่ไปเยี่ยมดา เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ดาบอกให้ซื้อของให้อีก เป็นจำนวนเงิน 336 บาท สรุปแล้วยังเหลือเงินของดาอยู่ที่ผม 15 บาท
สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการช่วยเหลือทางการเงินแก่ ดา ตอร์ปิโด ขอให้โอนเงินเข้าบัญชีพี่ชายของดาโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านผมอีก ชื่อบัญชี นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชีดังนี้ครับ
1. ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) สาขาพูนผล 2971258055
2. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ต 2644402980
3. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาภูเก็ต 5374061160
และ ก็ตามเคยอย่างเช่นทุกครั้ง หรือเกือบทุกครั้ง ที่ไปเยี่ยมดา ผมจะต้องได้รับรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังหญิง แต่คราวนี้ไม่ใช่ชีวิตในช่วงปกติ หากแต่เป็นช่วงน้ำท่วมเมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา
ดังที่ทราบกันดีจากที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ดาถูกย้ายไปเรือนจำคลองไผ่ แต่ในความเป็นจริง ทัณฑสถานหญิงกลาง ไม่ได้ย้ายผู้ต้องขังไปทั้งหมด แต่ยังมีผู้ต้องขังหญิงเหลืออยู่อีกพันกว่าคน ซึ่งคนที่อยู่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก..ภายใต้การปกครองของ นางอังคนึง เล็บนาค ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง และนั่นเป็นสาเหตุแท้จริงที่ย้ายดาไปอยู่ที่อื่น เพื่อไม่ให้ดาโวยวาย..ร้องเรียน
ขอพูดถึงคนที่ถูกย้ายไปอยู่ ที่อื่นก่อนตามระบบของเรือนจำ อย่างที่ทุกคนที่เคยไปเยี่ยมดา ทราบดีอยู่แล้ว การฝากเงินให้ดา หรือผู้ต้องขังอื่นทุกคน จะต้องฝากเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องขังคนนั้นๆ พูดอีกอย่างก็คือ จ่ายเงินให้เรือนจำนั่นแหละ แล้วเรือนจำถึงให้ผู้ต้องขังเบิกใช้ทีหลัง ปัญหาของการย้ายที่คุมขังอยู่ตรงนี้ เมื่อใช้ระบบฝากเงิน จึงต้องมีบัญชีเงินฝากของผู้ต้องขัง แต่ในการย้ายผู้ต้องขังไปขังยังที่อื่น
ทัณฑสถานหญิง กลาง..โดยนางอังคนึง เล็บนาค ไม่ได้ส่งบัญชีเงินฝากของผู้ต้องขังไปด้วย ส่งผลให้ผู้ต้องขังที่เรือนจำคลองไผ่ทุกคน...ไม่มีสิทธิเบิกเงินที่ญาติฝาก ให้มาใช้ได้เลย จนบรรดาญาติๆของผู้ต้องขังต้องส่งข่าวบอกๆต่อๆกันไปให้ส่ง ธนาณัติ ไปให้ผู้ต้องขัง ส่งผลให้มีการส่ง ธนาณัติ ไปให้ผู้ต้องขังจากทัณฑสถานหญิงกลาง ที่ขังอยู่ที่เรือนจำคลองไผ่ในตอนนั้น เป็นจำนวนถึง กว่า 800,000 บาท ภายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว และ ผอ.เรือนจำคลองไผ่ ก็ได้เปิดบัญชีให้ผู้ต้องขังเหล่านั้น ซึ่งหลังจากย้ายกลับมาทัณฑสถานหญิงกลาง ทางเรือนจำคลองไผ่ ก็ได้โอนเงินส่วนที่เหลือคืนมาเข้าบัญชีของผู้ต้องขังที่ ทัณฑสถานหญิงกลาง
การ ย้ายผู้ต้องขังไปขังยังที่อื่น ไม่ได้ไปเพียงเรือนจำคลองไผ่เท่านั้น แต่ได้ส่งไปขังที่เรือนจำราชบุรี และชลบุรี ด้วย แต่ทั้ง 2 ที่นั้น ผอ.เรือนจำ ได้จึ้..จิก มาที่นางอังคนึง เล็บนาค ให้ส่งบัญชีเงินฝากของผู้ต้องขังไปด้วย เพื่อให้ผู้ต้องขังเบิกใช้จ่ายระหว่างที่ถูกขังที่นั่นได้ ทำให้นางอังคนึง เล็บนาค จำต้องส่งบัญชีไป(เข้าใจว่า..ต้องโอนเงินไปด้วย และที่ไม่ยอมส่งบัญชีไปก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่ยอมส่ง หรือจะเก็บไว้กินดอกเบี้ย)
หลังจากย้ายกลับมาแล้ว นางอังคนึง เล็บนาค ยังออกกฎ ไม่ให้ผู้ต้องขังเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากของตนมาใช้อีก 1 สัปดาห์ อ้างว่าต้องเคลียร์บัญชีจากการส่งบัญชีไปเรือนจำอื่น และดา กับผู้ต้องขังที่ถุกย้ายไปเรือนจำคลองไผ่ ก็พลอยเบิกเงินไม่ได้ด้วย..ทั้งที่ไม่ได้ส่งบัญชีไปเรือนจำคลองไผ่
ใน ส่วนของคนที่ถูกขังอยู่ที่เดิม...ทัณฑสถานหญิงกลาง ชีวิตความเป็นอยู่รันทดลำเข็ญสุดๆ อย่างที่ทราบกันแล้วว่า น้ำท่วมคราวนี้หนักหนาสาหัส แต่สิ่งหนึ่งที่ถูกปิดข่าว คือ ทัณฑสถานหญิงกลาง ถูกน้ำท่วมด้วย และท่วมสูงในระดับไม่น้อยกว่า 1 เมตร ผลคือ ผู้ต้องขังหญิงต้องยืนอาบน้ำในน้ำท่วมที่สูงถึง..ก้น และได้อาบน้ำแค่ 3 ขัน..ขอย้ำอีกที...ยืนอาบน้ำในน้ำท่วมสูงถึงก้น และอาบน้ำเพียง 3 ขัน
ไม่ เพียงแค่นั้น ด้านอาหาร แต่ละมื้อได้ทานข้าวเพียง 1 ถ้วยเล็กๆ..ขนาด ถ้วยข้าวไหว้ผี กับข้าวมีเพียงหัวไช้เท้าต้ม หนักกว่านั้น..บางวันมีเพียง..น้ำข้าว
ชีวิตผู้ต้องขังหญิง ณ ใจกลางประเทศ แต่มีสภาพชีวิต ไม่ต่างจากสัตว์ น่าอนาถที่ประเทศนี้ยังกล้าประกาศตัวว่าเป็น..เมืองพุทธ
เมืองแห่งศาสนาที่ได้รับยกย่องทั่วโลกว่าเป็น..ศาสนาแห่งสันติภาพ
กับ เรื่องเศร้านี้ ขอจบด้วย จดหมาย ที่มีคนฝากไปให้กำลังใจดา (ขอสงวนชื่อเจ้าของจดหมาย) เป็นจดหมายจากคนที่ได้ร่วมฝากเงินให้ผมไปส่งต่ดให้ดาด้วย
"เป็นกำลังใจให้ครับ พี่ดาสู้และยืนหยัดต่อไปนะครับ สักวันคงมีโอกาสได้พบกัน"
"แม้ จะไม่เคยเจอพี่ดาเลย แม้ว่าความคิดเราไม่ได้ตรงกันทั้งหมด แต่ความกล้าหาญของพี่ดาที่จะยืนหยัดในสิ่งที่พี่ดาเชื่อ ได้ทำให้มโนในสำนึกของผมตื่นขึ้น ตื่นขึ้นให้เอาธุระกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ พี่ดาอาจไม่ใช่คนแรกที่โดนคดีนี้ แต่เป็นคนแรกๆที่บอกให้เรารู้ว่า สังคมไทยเรามีปัญหาเรื่องนี้จริงๆ
แน่นอนว่า ผมหวังว่าพี่ดาจะพ้นออกจากที่จองจำในเร็ววัน
แน่ นอน เราหวังว่า บ้านเราจะเดินทางไปสู่สังคมที่เท่าเทียมที่มีเสรีภาพ มีความเสมอภาคกัน แต่ในเวลาเฉพาะหน้านี้ แสงสว่างปลายอุโมงค์นั้นริบหรี่เหลือเกินสำหรับสังคมไทย ซึ่งผมก็เชื่อว่าพี่เองก็พอสัมผัสได้ แต่ยุคนี้แหละครับ ที่จะทำให้เห็นความมืดมิดที่สุด ภูตผีปีศาจและอวิชชา จะได้ออกอาละวาดตามอำนาจของมันเต็มที่ และยุคนี้เช่นกันที่นักวิชาการอย่างนิติราษฎร์เริ่มจุดไฟในสายลมแล้ว
ยุคนี้คนตัวเล็กตัวน้อยเริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่เคยถามกันมาก่อน
พี่ดาเป็นคนเดินนำไปก่อนบนเส้นทางประวัติศาสตร์สายนี้หวังว่าจะได้คุยกับพี่ดานอกขื่อคาพันธนาการนะครับ
รักษาสุขภาพ
แด่ความเสมอภาค เสรีภาพ ภราดรภาพ
อ้อ..สุดท้าย(จริงๆ) ดา เปลี่ยนใจแล้วนะครับ ตัดสินใจอุทธรณ์ และจะสู้คดีจนถึงที่สุดครับ
ประเวศ ประภานุกูล