WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, October 15, 2008

ยุทธศาสตร์, ยุทธวิธี, ยุทธการ

คงจะยากเสียแล้วครับที่จะหาความเป็นกลางของใครสักคนในประเทศนี้ ความสมานฉันท์คงจะจบสิ้นลงไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม เป็นต้นมา และยิ่งไม่มีทางสมานฉันท์อย่างแน่นอนเมื่อพิธีพระราชทานเพลิงศพผ่านพ้นไป ในที่สุดการสูญเสียชีวิตของคนไทยที่มีเลือดสีเดียวกัน

เกิดบนผืนแผ่นดินเดียวกันก็ได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ เป็นสิ่งที่น่าสลดหดหู่ใจอย่างยิ่งสำหรับผู้เฝ้าดูและติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและความเป็นไปของประเทศเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้ประเทศไทยคงมาถึงทางแยกที่มีทางเดินอยู่ 2 ทางเสียแล้วนั่นก็คือ ทางหนึ่งเดินมุ่งหน้าไปสู่หนทางที่จะให้ประเทศมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ..... และหนทางที่สองเดินมุ่งหน้าไปสู่หนทางที่จะนำพาประเทศไปสู่การปกครองแบบเผด็จการอมาตยาธิปไตยโดยอำนาจสูงสุดอยู่กับคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าประชาชนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ ต้องการให้ประเทศนี้เลือกที่จะเดินไปสู่การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย แต่ในขณะที่คนจำนวนน้อยแต่เสียงดังของประเทศนี้ต้องการให้ประเทศไทยเดินไปสู่การปกครองแบบเผด็จการอมาตยาธิปไตย ประชาชนไทยแบ่งข้างกันเรียบร้อยไม่มีใครยอมใคร แต่ละฝ่ายต่างก็มีกองกำลังแนวร่วมของแนวทางที่ตนเองศรัทธา เมื่อถึงจุดนี้อะไรจะเกิดก็คงจะต้องยอมให้เป็นไปเสียแล้ว คงจะห้ามไม่ได้อีก เอาล่ะเมื่อถึงเวลาต้องสู้ก็จำเป็นต้องสู้ ดังนั้นก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบเพื่อการต่อสู้ การกำหนดยุทธศาสตร์ในการต่อสู้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ครั้งนี้ สำหรับประชาชนทั่วไปก็คือ "ต่อสู้ให้ได้มาเพื่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดมาจากปวงชนชาวไทยทั้งมวล" เพราะยุทธศาสตร์นี้เป็นเพียงยุทธศาสตร์เดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศชาติกลับมาสู่ความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ประชาชนผู้ยึดมั่นในความเป็นอิสระทางความคิด และศรัทธาในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย จึงต้องยึดเอาไว้ให้มั่น และถือเป็น ธงชัย แห่งความคิด และนำไปในทุกที่ และทุกทางที่จะดำเนินไปท่ามกลางการต่อสู้นี้ ดังนั้นถ้ามีใครถามว่า ท่านดำเนินการต่อสู้ไปในครั้งนี้เพื่อสิ่งใด คำตอบที่ทุก ๆ ท่านจะต้องตอบเป็นคำเดียวกัน และเหมือนกันก็คือ สู้เพื่อนำประชาธิปไตยมาสู่ประเทศไทย

เมื่อท่านได้กำหนดยุทธศาสตร์แล้ว จำเป็นจะต้องกำหนดยุทธวิธีที่จะใช้ในการสู่การต่อสู้ในการรบในครั้งนี้ โดยการกำหนดยุทธวิธีนั้นจำเป็นต้องมีการประเมินว่าฝ่ายเรามีกำลังเท่าใด และฝ่ายเขามีกำลังเท่าใดจึงจะสามารถกำหนดยุทธวิธีได้ เรียกว่าต้องรู้เขารู้เราจึงจะ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

กำลังในครั้งนี้ฝ่ายอมาตย์มีกำลังที่ได้เปรียบอย่างมาก เพราะได้ครอบคลุมไปเกือบทุกองคาพยพของประเทศมาอย่างยาวนาน จึงเห็นภาพที่เหมือนกับว่ากองกำลังฝ่ายอมาตย์มีอยู่ในทุก ๆ ที่ และแสดงออกมาในทุกภาคส่วน ทั้งด้านประชาชน, นักวิชาการ, สื่อสารมวลชนหลัก, กองทัพ, และความเคารพศรัทธาอีกด้วย เรียกว่าครบเครื่อง

ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะได้ด้วยยุทธวิธีการรบอย่างปกติธรรมดา เพราะนั่นหมายถึงการเข้าไปโจมตีในจุดแข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายอมาตย์ แต่ในขณะเดียวกันฝ่ายอมาตย์ก็มีจุดอ่อนคือ มวลชนของฝ่ายอมาตย์มีน้อยกว่ามาก และขาดการสนับสนุนหรือการยอมรับจากนานาชาติ อีกทั้งเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัด.........

ทีนี้มาดูกำลังของฝ่ายประชาธิปไตยบ้าง สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยได้เปรียบก็คือ เป็นฝ่ายครองอำนาจรัฐ, มีกำลังมวลชนที่สนับสนุนมหาศาลทั้งในประเทศและต่างประเทศ, มีแรงหนุนมากมายจากนานาชาติในทุกสังคมโลกในทางการทูต, มีการสื่อสารรอง (อินเตอร์เน็ต) ที่ได้เปรียบ, ขณะเดียวกันก็ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนช่วยเหลือในทางลับต่าง ๆ เท่าที่จะสามารถทำได้จากผู้ที่อยู่ต่างประเทศ, มีเวลาที่สามารถทอดยาวได้อย่างไม่จำกัด........ฯลฯ

แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดด้อยคือการขาดความเป็นเอกภาพในด้านการบริหารจัดการมวลชน ขาดศูนย์กลางการนำที่ชัดเจนเพื่อนำไปสู่ยุทธศาสตร์หลัก หรือเป้าหมายที่จะเป็นชัยชนะ เพราะมีองค์กรนำมากเกินไปและยังไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว แม้จะมียุทธศาสตร์เหมือนกันแต่ก็ยังไม่ได้รับการกำหนดยุทธวิธีให้สอดคล้องกันในแต่ละสถานการณ์ของการสู้รบ จึงทำให้ไม่สามารถดำรงความได้เปรียบได้.......

ผมไม่ใช่นักการทหาร แต่ผมเชื่อว่าในขณะที่กองกำลังของเรายังไม่พร้อม หรืออ่อนด้อยกว่าขณะนี้และจะต้องเข้าสู้รบกับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า จึงจำเป็นต้องกำหนดยุทธวิธีที่ไม่เข้าปะทะตรงๆ แต่ต้องทำเป็นลักษณะต่อสู้ทางใต้ดิน หรือในทางลับมากกว่าแบบ ลับ, ลวง, พราง เพื่อมิให้อีกฝ่ายหนึ่งจับทิศทางในการดำเนินกิจกรรมได้ ขณะเดียวกัน ต้องพยายามหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง ที่จะไม่นำตัวเองเข้าไปต่อสู้ ในสนามที่ฝ่ายอมาตย์กำหนดไว้ เพราะจะเป็นพื้นที่ที่เขาได้เปรียบ เช่น เข้าสู่การพิจารณาอรรถคดีทางศาล, การปะทะด้วยกองกำลังติดอาวุธก่อนถึงเวลา......... ฯลฯ

ด้วยเหตุนี้สำหรับประชาชนผู้เฝ้าติดตามสถานการณ์ด้วยความสนใจนี้ จำเป็นจะต้องรู้ว่า ยุทธวิธีใด ที่จะเหมาะสมกับการต่อสู้ในสถานการณ์ใด เพื่อให้เกิดความได้เปรียบ การใช้ความห้าวหาญแต่เพียงอย่างเดียวในการเข้าปะทะ โดยมีแรงกระตุ้นที่มาจากสื่อหลักของฝ่ายอมาตย์นั้น ยังไม่เป็นยุทธการที่ถูกต้อง เพราะรังแต่จะทำให้เกิดการเสียเปรียบในทางยุทธวิธี ที่จะนำพาให้ชัยชนะไปสู่ยุทธศาสตร์หลักจะต้องทอดยาวออกไป........

ดังนั้นยุทธวิธีในการแสดงพลังมวลชนเพื่อข่มขวัญ และกดดันฝ่ายอมาตย์ นั้นจึงเป็นการสร้างยุทธการที่ถูกต้อง เพราะมวลชนของเรามีมากกว่า ซึ่งนั่นคือข้อได้เปรียบ และด้วยอำนาจรัฐที่ยังอยู่ในมือของฝ่าย ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะบังคับใช้กฎหมายได้มากน้อยเพียงใดก็ตาม แต่ก็จะต้องครอบครองอำนาจรัฐนั้นเอาไว้ให้ได้ ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปเป็นอันขาด เพราะนั่นเป็นความชอบธรรมในการดำเนินยุทธการ, ตามยุทธวิธีที่ตั้งเอาไว้

ดังนั้นทุกยุทธการในการต่อสู้ต่อไปนี้ ขอให้พี่น้องประชาธิปไตยทั้งหลายพึงระลึกถึงด้วยว่า ท่านจะต้องต่อสู้ในแต่ละยุทธการเพื่อนำไปสู่ความได้เปรียบในเชิงยุทธวิธี และในที่สุดจึงจะทำให้ชนะในยุทธศาสตร์หลักได้ แม้บางยุทธการอาจจะดูเหมือนพ่ายแพ้, ถอยร่น, ถูกตีแตก, แต่ตราบใดก็ตามในยุทธการนั้นนำไปสู่ความได้เปรียบในยุทธวิธีที่ฝ่ายเราตั้งเอาไว้ (เช่นเป็นการใช้กฎหมายตามอำนาจรัฐที่ถูกต้อง, สามารถกระจายข่าวไปตามสื่ออินเตอร์เน็ตได้รวดเร็ว, สามารถทำให้คนทั่วโลกได้เข้ามามีส่วนในการเห็นถึงความเลวร้ายของเผด็จการอมาตย์....ฯลฯ) รับรองว่า ประชาธิปไตยไม่มีวันแพ้

สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงนักครับ ไม่มีทางที่คนไทยคนใดจะหลีกเลี่ยงได้พ้น ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ท่านจะชอบหรือไม่ชอบ ท่านจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ท่านได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสสงครามทางความคิดของประเทศไทยในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว ถ้าการที่ท่านนิ่งเงียบไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมาต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้

ก็เท่ากับท่านเลือกข้างแล้ว (ไม่ว่าต้องการหรือไม่) คือเลือกข้างที่จะไม่ต่อต้าน หรือยอมรับว่าเผด็จการอมาตยาธิปไตย ที่กำลังทำลายชาติอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่สมควร และเป็นสิ่งที่ทำได้อย่างชอบธรรม และเท่ากับว่าท่านได้เลือกว่าท่านต้องการให้ประเทศไทยในอนาคต (ซึ่งหมายถึงลูกหลานของท่านด้วย) ถูกปกครองโดยระบอบเผด็จการอมาตยาธิปไตยที่ให้อำนาจกับคนเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถกำหนดชะตาชีวิตของท่านและลูกหลานท่านได้ เพราะมันจะเป็นไปอย่างนั้น.......

และวันนี้ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องเลือกเดินไปบนทาง 2 แพร่งนี้เท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ ท่านก็ต้องเลือกเดิน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะเลือกไม่ผิด เพราะอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า ท่านจะต้องเป็นผู้ตอบคำถามที่เกิดขึ้นในวันนี้ แก่ลูกหลานของท่านเองว่า ในวันนี้ท่านเลือกอะไร.???

ปูนนก

จาก thaifreenews