คนสองคนทะเลาะกัน ด่ากัน ตีกัน หายโกรธต่างคนก็ต่างแยก ย้ายกันไป คนกลุ่มหนึ่งทะเลาะกัน มีกรรมการมาห้าม ได้สติก็เลิกรากันไป แต่ถ้าสถาบันหลัก องค์กร หรือมวลชนทะเลาะกัน มีแต่ความหายนะ ปัญหาวิกฤติความแตกแยกของคนไทยเวลานี้ไปไกลกว่าที่จะไกล่เกลี่ย ไปไกลกว่าที่จะหาทางลง หรือยุติปัญหาด้วยความประนีประนอม และใหญ่เกินกว่าที่คนธรรมดาจะแก้ไขได้ แม้แต่กฎกติกาหรือ กระบวนการยุติธรรมก็ยากที่จะเยียวยา ดังนั้น ความขัดแย้งของคนในประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่ความรุนแรงที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นสงครามกลางเมือง ผมเคยเกริ่นไว้หลายครั้งแล้วว่า วิกฤติการเมืองครั้งนี้จะนำไปสู่การสิ้นชาติ ก็ไม่มีใครฟัง วันนี้มีองค์กร มีสถาบัน มีมวลชน แยกออกเป็นสองขั้วพร้อมที่จะ เข้าหํ้าหั่นกันด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ กำลังกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ผมว่าประชาธิปไตยในประเทศไทยล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อำนาจบริหารก็ไม่มี อำนาจนิติบัญญัติก็ไม่มี แม้แต่อำนาจตุลาการก็ทำงานไม่ได้เต็มที่ รวมทั้งอธิปไตยที่สูญเสียการทรงตัว ปกครองกันโดยกฎหมู่ กระบวนการยุติธรรม ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง กลายเป็นสากกะเบือกันไปหมด ทำอะไรก็ไม่ได้ กลัวจะตกเป็นจำเลยของสังคม กระทั่งล้มเลิกงานวันตำรวจแห่งชาติ องค์ประกอบของประชาธิปไตยไม่มีแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือสถาบันสำคัญของประเทศที่กำลังจะถูกม้วนเข้าไปในมรสุมของวิกฤติด้วย อย่าดึงฟ้าต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน ต้องท่องกันเอาไว้ให้ดี ปรากฏการณ์ระหว่างหมอกับตำรวจ ปรากฏการณ์กัปตันการบินไทยกับ ส.ส.พลังประชาชนปรากฏการณ์ที่ไม่ยอมรับบุคคลในคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ 7 ตุลา ปรากฏการณ์ ที่ไม่ยอมรับคณะกรรมการแก้ปัญหาวิกฤติชาติจะเรียกว่าอารยะขัดขืนหรือ กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ก็อีกเรื่อง แต่เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยกำลังว้าเหว่ ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกเครียด เซ็ง เบื่อหน่าย ไม่ยินดียินร้ายกับความเป็นไปของบ้านเมืองในขณะนี้น่าจะยืนยันได้ว่า เป็นอาการที่เรากำลังใกล้จะสิ้นชาติเข้าไปทุกที ไม่ช้าไม่นานก็จะแบ่งแยกการปกครอง ตั้งเป็นรัฐอิสระ เป็นเขตการปกครองพิเศษ ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีอธิปไตย ไม่มีชาติ. “หมัดเหล็ก”