คอลัมน์ : สวัสดีวันจันทร์
“...คนพวกนี้กลัวประชาธิปไตย กลัวคนส่วนใหญ่ของประเทศคือชาวนา ชาวไร่ จะมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับเขา เขาจึงต้องการการปกครองระบอบเผด็จการที่มีชื่ออย่างแอบอ้างเรียกว่า ประชาธิปไตยใหม่ หรือ การเมืองใหม่ หรือการปฏิรูปการเมือง ก็สุดแล้วแต่...”
ข้าพเจ้าแกล้งหลบหลีกสถานการณ์การเมืองปัจจุบันนำท่านผู้อ่านไปศึกษาประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยเสียสองจันทร์ เพื่อใช้เวลาช่วงนั้นวิเคราะห์สถานการณ์ให้แจ่มแจ้ง
วันนี้ข้าพเจ้าขอนำท่านกลับมาสู่ความแจ่งแจ้งที่ว่านั้น
ขอบอกว่าจากประสาทสัมผัสทั้ง 6 และจากประสบการณ์ 40 ปีทั้งบนและข้างเวทีการเมือง ข้าพเจ้าพบว่ามีกลิ่นรัฐประหารฉุนเฉียวอีกแล้ว
การออกจากทำเนียบรัฐบาลเพื่อไปทำธุระอะไรก็ตามที่บ้านนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จนออกมาถูกตำรวจจับไม่ได้เป็นแผนการลึกซึ้งใดๆก็จริง แต่การที่พล.ต.จำลอง ศรีเมืองออกจากทำเนียบรัฐบาลไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อให้ตำรวจจับกุมตัวนั้นต้องยอมรับว่ามีแผนการลึกซึ้งแน่นอน
แผนการนั้นถูกเฉลยในเวลาต่อมาว่า คือการเป่านกหวีดเรียกคนมาชุมนุมใหญ่ที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง แม้ครั้งนี้จะไม่ได้คนมากเท่าที่ต้องการ แต่ก็มากพอที่จะทำอะไรได้ตามที่กะการกันเอาไว้
แผนที่ว่านั้นก็คือ แบ่งม็อบจำนวนหนึ่งไปปิดล้อมรัฐสภา ทำให้การประชุมเพื่อแถลงนโยบายเกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อการแถลงนโยบายเกิดขึ้นไม่ได้รัฐบาลนี้ก็ต้องล้มไป
หรือมิฉะนั้น ระหว่างการปฏิบัติการปิดล้อมสภา ถ้ารัฐบาลสั่งปราบปรามเพื่อสลายม็อบก็อาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนรัฐบาลอยู่ไม่ได้อีกเหมือนกัน
สุดท้ายคือ แม้ระหว่างการปฏิบัติการปิดล้อมรัฐสภามีการปะทะกันเลือดตกยางออกและการปะทะยืดเยื้อข้ามวันข้ามคืน (เพราะตำรวจย่อมไม่ใช้อาวุธประสิทธิภาพสูงทำร้ายฝูงชนอยู่แล้ว) ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองอีกครั้งก็ได้
นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายของแผนการนั้น
พูดง่ายๆว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้าไปอยู่ในทำเนียบรัฐบาลไม่มีทางลงทางใดที่ปลอดภัยเท่ากับการทำให้เกิดรัฐประหาร
จริงอยู่ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งเพิกถอนหมายจับคดีกบฏไปแล้ว ทำให้แกนนำพันธมิตรรู้สึกโล่งอกโล่งใจเป็นอันมาก พากันจูงมือ-ควงแขนไปมอบตัวสู้คดีเล็กๆกว่านั้น
แต่เอาเข้าจริงๆพวกเขาก็คงจะพบว่าแม้คดีเล็กกว่าคดีกบฏ แต่เมื่อมันมีหลายคดี รวมทั้งคดีหมิ่นประมาท ทั้งที่โจทก์ปรากฏตัวแล้วและยังไม่ปรากฏตัว รวมกันเข้าก็มีจำนวนมากพอที่จะทำให้พวกเขาไม่มีเวลาทำอะไรอื่นอีกเลยตลอดชีวิต
นอกจากการขึ้นศาลและการติดคุก
เพราะฉะนั้น การระงับคดีเบ็ดเสร็จด้วยการที่พวกเขาทำรัฐประหารจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของพันธมิตรนั้นไม่ได้เป็นปัญหาที่ข้าพเจ้ายึดถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดหรือเป็นปัญหาที่น่าวิตกที่สุดเพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คือคน ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่เจ็บ ตาย ร่วมกับเรา
ปัญหาที่ข้าพเจ้าสนใจยิ่งกว่าคือปัญหาระบอบ เพราะเหตุว่าก้อนความคิดเรื่องระบอบการปกครองไม่ใช่อยู่ที่คนในหมู่พันธมิตรที่เรามองเห็นได้ง่ายแห่งเดียว หากมันมีอยู่กว้างขวางในกลุ่มคนระดับสูง นักวิชาการมิจฉาทิฐิและในกลุ่มทหารอีกกลุ่มหนึ่ง
คนพวกนี้กลัวประชาธิปไตย กลัวคนส่วนใหญ่ของประเทศคือชาวนา ชาวไร่ จะมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับเขา เขาจึงต้องการการปกครองระบอบเผด็จการที่มีชื่ออย่างแอบอ้างเรียกว่า ประชาธิปไตยใหม่ หรือ การเมืองใหม่ หรือการปฏิรูปการเมือง ก็สุดแล้วแต่
สำคัญคือ วิธีการที่จะได้มาต้องได้มาด้วยการใช้กำลัง
เหตุเพราะว่าเขาได้พยายามทุกวิถีทางแล้วที่จะทำให้มีการยุบสภาหรือนายกรัฐมนตรีลาออก หรือแม้แต่หลอกล่อชวนตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งก็ปรากฎว่าไม่ได้ผล ไม่มีการตอบรับจากรัฐบาลและประชาชนแม้แต่สักอย่างเดียว
ข้าพเจ้าคำนวนว่าในที่สุด เขาก็จะต้องทำอย่างเดียวกับวิธีการจัดการกับนายกฯสมัคร สุนทรเวช คือจัดการให้ปลาใหญ่ตายน้ำตื้น โดยใช้กฎหมายของเขากับองค์กรอิสระต่างๆของเขาที่ได้สร้างไว้ตั้งแต่ปี 2549
แม้ข้าพเจ้าจะได้เคยวิพากษ์ วิจารณ์รัฐธรรมนูญไว้มากตั้งแต่ สสร.กำลังยกร่างกันอยู่ในปี 2550 จนกระทั่งนำร่างนั้นมาขอประชามติในเดือนตุลาคม 2550 นั้นเอง แต่เป็นการวิพากษ์ วิจารณ์ไปตามทฤษฎีประชาธิปไตยธรรมดาๆ ว่าไปแล้วก็คล้ายกับตกหลุมพรางของคณะเผด็จการ คมช.ที่ต้องการให้นักประชาธิปไตยเต้นไปตามจังหวะกลองที่พวกเขาตี พอดึงสายตาของผู้คนให้หันไปสนใจบ้างเท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าเพิ่งมาตระหนักในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เองว่า แท้ที่จริงแล้วเขาทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จัดทำรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมาก็เพื่อทำรัฐประหารอีกครั้งในปีนี้นั่นเอง
ครั้งนี้แหละ จะเป็นการกระชับอำนาจยิ่งกว่าเก่า
ครั้งนี้แหละ รัฐทหาร ( Military State ) จะปรากฏตัวตนที่แท้จริงของมันออกมาในรูปของการเมืองใหม่ที่พันธมิตรเรียกร้องมาหลายเดือนแล้ว
เพื่อเป็นการเตือนภัยครั้งใหญ่ ข้าพเจ้าและคณะผู้ทำรายการโทรทัศน์ ‘ ความจริงวันนี้ ’ ใน NBT พร้อมทั้งเพื่อนๆแกนนำ นปก.ได้นัดชุมนุมคนเสื้อแดงต้านรัฐประหารขึ้นที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ในวันที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา
หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้เห็นภาพ ‘วันแดงเดือด’ ในหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันรุ่งขึ้นแล้ว
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ 14.00 น. ถึง 19.00 น. เรานำเสนอเนื้อหาสาระคือ บอกให้นักประชาธิปไตยทั้งหลายเตรียมตัวเตรียมใจต่อต้านการรัฐประหารครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในนาทีใด นาทีหนึ่งนับตั้งแต่บัดนี้
เพราะเรา – คือประชาชนทุกคน ซึ่งต้องรักและหวงแหนลมหายใจของเราเอง
และลมหายใจของเราคือ สิทธิ เสรีภาพ กับความเสมอภาค
ซึ่งเรียกรวมๆกันว่า ประชาธิปไตยนั่นเอง
วีระ มุกสิกพงศ์