เคยทำ “ของหาย” แล้วนอนไม่หลับกันบ้างไหม ปกติไม่ว่าจะเงินหายหรือของหาย ไม่สู้จะเสียดายเพราะคิดว่าไม่ตายหาใหม่ได้ จึงเป็นคนไม่ค่อยเป็นทุกข์กับเรื่องข้าวของ หลังๆ เริ่มซื้อและสะสมน้อยลง ก็ยิ่งไม่ต้องเป็นทุกข์คอยหวงทรัพย์สมบัติที่มีติดตัว
แต่ของชิ้นเดียวที่หายไปแล้วจนป่านนี้ยังเสียดายนอนแทบไม่หลับ ก็คือ “พระเครื่อง” เป็นพระรุ่นไหน บูชามาเท่าไร วัดไหน หลวงพ่ออะไรปลุกเสก ฯลฯ ก็อย่ารู้เลย เพราะของแบบนี้ส่วนมากมีค่าทางจิตใจมากกว่าเงินทอง หายไปก็เหมือนหัวใจจะแหว่งไปเสี้ยวหนึ่ง (ถึงขนาดนั้น...)
ที่สำคัญมันหายแบบโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เนื่องจากวันนั้นเปลี่ยนสายสร้อยใหม่เป็นสายเชือกแล้วรู้สึกคันผิวที่ต้นคอ จึงถอดเก็บใส่กล่องไว้แล้วก็ลืมเก็บกลับบ้าน ทิ้งไว้ที่ออฟฟิศ จนป่านนี้ก็หาไม่เจอไม่มีใครรู้ใครเห็น ใครที่หยิบไปจะนำไปบูชาต่อก็คงไม่ได้สักกี่สตางค์เพราะไม่ใช่เหรียญหรูอาจารย์ดัง เลยเดาว่าคนเอาไปคงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันจึงหยิบไปโดยไม่ได้บอกกล่าว ถ้าเขารักจริงชอบจริงก็จะตัดใจให้ นึกเสียว่าเครื่องรางของขลังทำนองนี้ถ้าไม่ใช่ของเราก็ไม่ใช่ของเรา เป็นการปลอบประโลมตัวเองที่อยู่บนหลักความเชื่อล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับเหตุผลสักนิด...(แต่ถ้าสงสารก็เอามาคืนเถอะ ฮือ ฮือ)
เจอเข้ากับตัวแบบนี้ จึงทำให้นึกถึงบรรดานักเลงพระ (บางคน) ที่เริ่มสะสมจากความชอบความศรัทธาส่วนบุคคล ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีมาก ยิ่งผูกพันหวงแหนมาก นำมาสู่ความทุกข์เพราะจิตใจยึดมั่นผูกติดกับสิ่งนั้น บางคนหลงถึงขนาดเชื่อว่าที่กำลังทำอยู่คือการน้อมนำใจให้เข้าใกล้คำสอนของพระศาสดา (ผ่านทางรูปเคารพบูชา) ทั้งที่ความจริงคำสอนของพระพุทธองค์คือ ปล่อยวาง พระพุทธรูปหรืออะไรก็แล้วแต่คือสัญลักษณ์ให้เห็นทางตา หาใช่หนทางสู่ความสงบทางใจแต่อย่างใด
เวลาทำสร้อยพระหล่นพื้นหรือกระทั่งทำหายแล้วจิตใจร้อนรุ่มกระวนกระวายนั่นแหละ แสดงว่าเรากำลังหลงแล้ว ยึดติดอยู่กับรูปเคารพแล้ว ลืมไปว่าแท้จริงความศรัทธาอยู่ที่ “ใจ” มากกว่า “วัตถุ”
แล้วเจ้าความหลงผิดๆ ถูก ๆ ระหว่างเปลือก แก่น กระพี้ ฯลฯ ทำนองนี้ ก็นำความวุ่นวายมาสู่มนุษย์เรามากมายหลายเรื่องเต็มทน บางคนรักหรือศรัทธาอะไรมาตลอดชีวิตแล้วเพิ่งมารู้ความจริงที่อยู่เบื้องหลังก็เกิดอาการอกหักกันเป็นทิวแถว บางคนจึงสุดขั้วไม่นับถืออะไรเลยเพราะไม่รู้อะไรจริงอะไรลวง
ที่เห็นว่าจริงหลายครั้งลวง ที่เห็นว่าลวงที่แท้อาจจริง สองสิ่งนี้สลับสับเปลี่ยนกันไป บางทีก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และเวลา ไม่มีอะไรจริงหรือลวงในทุกสภาวะ อยู่ที่ว่าเราใช้สติและปัญญาตัดสินมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการเมืองแบบในวันนี้ ง่ายที่จะใช้อารมณ์และตีขลุมว่าที่เรารักเราชอบคือความจริง ถ้าขาดสติกันเมื่อไรความเสียหายย่อยยับก็อยู่ไม่ไกลเลย