คอลัมน์ : สามเหลี่ยมดินแดง
* หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ สื่อทางเลือกสำหรับคนรักประชาธิปไตย ฉบับนี้ ประจำวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2551 เป็นวันตำรวจแห่งชาติ ที่จะต้องถูกบันทึกไว้ว่า โจรร้ายก๊กใหญ่จะใช้ฤกษ์งามยามดีวันนี้ บุกรุกเข้าล้อมกรอบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยที่ตำรวจจะทำได้เพียงแต่ยืนดูตาปริบๆ เพราะโจรก๊กนี้ ได้รับความคุ้มครองจากอำนาจวิเศษ จึงมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าโจรทุกก๊ก และมีสถานะ สูงส่งกว่าประชาชนทุกคนบนแผ่นดินนี้
* สถานการณ์ของตำรวจในขณะนี้ เหมือนกับคำพังเพย “ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน” ที่โบ ราณว่าไว้ไม่มีผิด ในขณะที่ ผู้รักษากฎหมาย ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ แต่คนทำผิดกฎหมาย อย่างพันธมิตรปล้นประชาธิปไตย กลับเดินหน้าท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย และอำนาจรัฐ ไปทั่วบ้านทั่วเมือง การเติบโตและขยายตัวของลัทธิพันธมิตรฯ ในวันนี้ น่าเชื่อว่าไม่มีอำนาจใดจะกำราบได้อีกแล้ว เว้นแต่ อำนาจของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ ที่จะต้องกรีฑาทัพมวลชนทั้งแผ่นดิน ออกมาสยบอำนาจเถื่อนของคนชั่วเหล่านี้
* ในขณะที่ สนธิ ลิ้มทองกุล แอบอ้างทุกวันทุกคืนว่า ต้องประท้วงขับไล่รัฐบาล เพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์ และเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวง แต่ สมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ พระราชทานสัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ ตีข่าวไปทั่วโลกว่า โจรพันธมิตร มิได้ทำเพื่อในหลวง หากแต่ทำเพื่อตัวเอง ประชาชนยังจะหลงเชื่อ “เจ๊กกบฏ” อีกหรือ?
* ไม่น่าเชื่อว่า ข่าว พระดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ถูกเผยแพร่ไปให้คนทั้งโลกได้รู้ความจริงว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของคนไทย กำลังถูกคนชั่วใช้เป็นเครื่องมือหาประโยชน์ส่วนตน จะมีเพียง หนังสือพิมพ์ข่าวสด เพียงฉบับเดียว ที่นำเสนอให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ แต่ สื่อมวลชนอื่นๆ ทุกสำนัก ทั้ง โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ กลับพร้อมใจกันไม่นำเสนอ เหมือนกับจงใจที่จะปิดหู ปิดตา คนไทย ไม่ให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่คนทั้งโลกรู้กันหมดแล้ว
* บรรดา สื่อแท้ ทั้งหลาย ที่โอ้อวดว่าเป็น สื่อที่เพียบพร้อมด้วยจริยธรรม คุณธรรม เปี่ยมด้วยจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ และอวดอ้างว่าเป็นสื่อที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ทุกลมหายใจเข้าออก มีเหตุผลอะไรจึงไม่นำเสนอพระดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ หรือยังคงเชื่อว่า สนธิ ลิ้มทองกุล มีความจงรักภักดี และก่อม็อบก่อกวนความสงบสุขของบ้านเมือง เพื่อปกป้องราชบัลลังก์ อีกกระนั้นหรือ?
* คิดๆ เท่าไรก็คิดไม่ออกสักที ว่าทำไม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ จึงต้องชี้แจงแถลงไขการไม่เข้าร่วมประชุมรัฐสภา วาระแถลงนโยบาย ต่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลอังกฤษ แทนที่จะชี้แจงให้ประชาชนคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจบทบาทและจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ หายสงสัย คลายความข้องใจต่อการทำหน้าที่พรรคการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เช่น หม่อมปลื้ม ที่เคยเป็นผู้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังไม่เข้าใจบทบาท หน้าที่ และอุดมการณ์ทางการเมืองของอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์
* ความคับข้องใจและสงสัยของ จงรัก ภักดีราช ต่อบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ มิได้อยู่ที่ว่าทำไมจึงต้องชี้แจงให้รัฐบาลสหรัฐ และรัฐบาลอังกฤษ ทราบ แต่อยู่ที่ว่า ทำไมพรรคประชาธิปัตย์ จึงเลือกที่จะชี้แจงให้ทราบเพียงแค่ 2 ชาตินี้เท่านั้น แต่รัฐบาลของชาติอื่นๆ ทั้งในชาติสมาชิกอาเซียน ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทย มากกว่าสหรัฐอเมริกา และ อังกฤษ กลับไม่ได้รับคำชี้แจงจากพรรคประชาธิปัตย์
* หาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เห็นว่าการชี้แจงแถลงไขต่อรัฐบาลต่างชาติ ให้ได้รู้เพื่อเข้าใจบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นวิถีทางที่ถูกต้อง ก็ไม่ควรจะจำกัดผู้รับสารของพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแค่สหรัฐ กับ อังกฤษ แต่ ควรจะชี้แจงต่อที่ประชุมสหประชาชาติให้ทุกประเทศทั่วโลกมีความเข้าใจต่อพรรคประชาธิปัตย์ ไปในคราวเดียวกันเสียเลย จะไม่ดีกว่าหรือ? แต่สำหรับ จงรัก ภักดีราช เห็นว่าการกระทำของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขัดกับคำสอนแบบไทยๆ ที่ว่า “ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า” และจะนำความเสียหายมาให้แก่ประเทศไทย มากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับเป็นแน่แท้
* เพียงแค่ “ไม่อาจจะก้าวข้ามกองเลือด” เข้าไปประชุมรัฐสภา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงกับต้องทำหนังสือชี้แจงให้ต่างชาติเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง แล้วเมื่อครั้งที่ พรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ และบอยคอตการเลือกตั้ง ซึ่งขัดต่อการทำหน้าที่ของพรรคการเมือง ทำไมจึงไม่คิดชี้แจงให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกเข้าใจบ้าง ยังไม่นับถึง การสนับสนุนคณะรัฐประหารที่กระทำการโค่นล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตย อย่างออกหน้าออกตาของบรรดาสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นบทบาทของพรรคการเมืองที่สร้างความงุนงงสงสัยให้แก่รัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลก
* ปีศาจคาบคัมภีร์ จึงเป็นคำอุปมาอุปไมยที่ใช้ได้ดีกับพรรคการเมือง ที่ปากพร่ำอยู่ร่ำไปว่า “ยึดมั่นระบบรัฐสภา” แต่กลับหันหลังให้รัฐสภา ทั้งไม่เข้าประชุมรัฐสภา และเรียกร้องให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหา หากแต่เป็นวิธีการหนีปัญหา และเป็น วิถีทางการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม เห็นแก่ประโยชน์ของพรรค มากกว่าประโยชน์ของประชาชน
* จงรัก ภักดีราช เคยเขียนไว้ตรงนี้ให้ระวัง พ่อใหญ่จิ๋ว หวานเจี๊ยบ ให้ดี ว่าหากไม่ได้ดังใจ พ่อใหญ่จิ๋ว จะแปลงกายเป็น พ่อใหญ่ลา หลังจากก่อปัญหาไว้อย่างแสนสาหัส ก็จะยื่นใบลาออกทิ้งภาระและปัญหาให้คนอื่นต้องเข้ามาแก้ไขความเสียหายที่ตัวเองก่อขึ้น เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากบริหารประเทศจนเศรษฐกิจพังพาบ ก็ลาออกหนีปัญหามาครั้งนี้ หลัง จากออกคำสั่งให้ตำรวจสลายม็อบ จนเป็นชนวนเหตุปะทะกันมีผู้บาดเจ็บล้มตาย พ่อใหญ่ลา ก็สะบัดตูดหนี ทิ้งปัญหาให้ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นผู้รับเคราะห์แทน
* แต่ที่แสบสันต์ยิ่งนัก ก็คือ ทันทีที่สะบัดตูดพ้นเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี พ่อใหญ่จิ๋ว ก็ไปยืนตะโกนเรียกร้องให้ทหารก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาล โค่น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งยังพูดจาเหน็บแนม พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ว่า ต้องมีความกล้าหาญที่จะปฏิวัติเพื่อชาติ หากต้องการให้ประเทศชาติอยู่รอด
* ไม่น่าเชื่อว่า อดีตนายทหาร ที่อวดโอ่ว่าเป็นหัวขบวนของทหารประชาธิปไตย และปั้นแต่งเกียรติภูมิในชีวิตของตนว่าเป็นนักต่อต้านการรัฐประหาร เป็นผู้ปราบกบฏมาหลายคณะ จะเรียกร้องให้ทหารทำการปฏิวัติ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพียงแค่ข้ามวัน จากที่เคยมีอำนาจเต็มมือ กลายเป็นผู้สูญสิ้นอำนาจ เพราะการกระทำของตนเอง มันน่านักที่จะต้องไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหายุยงให้มีการรัฐประหาร ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดำเนินคดีให้เป็นตัวอย่างและให้เข็ดหลาบเสียบ้าง
* หาข่าวมาขายประสา จงรัก ภักดีราช จริงเท็จต้องไปตรวจสอบข้อมูลกับ บุญทรง เตริยาภิรมย์ คนสนิทของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ว่า เหตุที่ พ่อใหญ่จิ๋ว แหกปากตะโกนเรียกร้องให้ทหารปฏิวัติ ยึดอำนาจรัฐบาลสมชาย เพราะว่า โทรศัพท์มาขอถอนใบลาออก เพื่อจะกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่ไม่สำเร็จ จึงทำให้พ่อใหญ่จิ๋ว โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จนออกอาการเพี้ยน เรียกทหารมายึดอำนาจสมชาย ล้มรัฐบาลไปเสียเลย ใช่หรือไม่?