ที่มา ข่าวสด
ทั้งๆ ที่รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ผ่านมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี และกำลังเหยียบบาทก้าวเข้าสู่ปีที่ 4
กระนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็ยังต้องแต่ง "เครื่องแบบ"
เพียงแต่ครั้งนี้มิได้แต่งเครื่องแบบเพื่อเดินสายปาฐกถาอันเริ่มจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และปิดท้ายที่โรงเรียนนายเรืออากาศ
หากแต่แต่ง "เครื่องแบบ" รอการตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่
ไม่เพียงแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะนำผบ.เหล่าทัพ พร้อมรักษาการ ผบ.ตร. หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็นำหน่วยของกองทัพภาคที่ 1
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็นำทีมงานมูลนิธิรัฐบุรุษ มูลนิธิรักเมืองไทย
ที่แปลกออกไปยังเป็นคณะของ นายวิรัช ลิ้มวิชัย อดีตประธานศาลฎีกา ซึ่งได้สนทนากับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นานร่วม 30 นาที
นี่ย่อมเท่ากับเป็นการสำแดง "พลัง" อีกครั้งหนึ่งของ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์
การสำแดง "พลัง" ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และคณะ คือ รูปธรรมอันยืนยันว่ารัฐประหาร เมื่อเดือนกันยายน 2549 ภารกิจยังไม่สิ้น
รัฐประหารสามารถ "กำจัด" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงได้โดยพื้นฐาน
เพราะไม่เพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องกลายเป็นบักน่อยตุหรัดตุเหร่อยู่ต่างประเทศ หากแต่ยังต้องคดีถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี
กระนั้น รัฐประหารก็ยังมิอาจ "ขจัด" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้
แม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 แม้พรรคพลังประชาชนจะถูกยุบเมื่อเดือนธันวาคม 2551
แต่ ณ วันนี้ ก็ยังมีพรรคเพื่อไทย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพำนักอยู่ต่างประเทศอย่างยาวนาน แต่ภายในประเทศก็มีการสำแดงพลังอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 กระทั่งกลายเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน
และประดาจปร.กว่า 100 ชีวิตก็ตบเท้าเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
หากสรุปจากความจัดเจนของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ขณะนี้การต่อสู้ของนปช.แดงทั้งแผ่นดินเริ่มมีองค์ประกอบ 3 ประ การ อันเรียกว่า แก้ว 3 ดวง
แก้วดวงที่ 1 คือ พรรค อันได้แก่พรรคเพื่อไทย
แก้วดวงที่ 2 คือ แนวร่วม อันได้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ รวมถึงในภาคกลางและกทม.
แก้วดวงที่ 3 คือ กองกำลัง
รูปธรรมอันเด่นชัดยิ่งของกองกำลังภายหลังการดำรงตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทยของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ การเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี คือมีจปร.กว่า 100 ชีวิต ยื่นใบสมัครเป็นสมาชิก
และยังมีกำลังของอดีตทหารพรานในความรับผิดชอบของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อีกจำนวนหนึ่ง
ประการหลังนี้เองทำให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ต้องแต่ง "เครื่องแบบ" อีกครั้ง
ทั้งหมดนี้คือจุดแหลมคมยิ่งทางการเมืองในปี 2553 ที่จะเหยียบบาทก้าวเข้ามา
การระดมพลังของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทั้งทางการเมือง การทหารและรวมถึงกระบวนการตุลาการภิวัตน์ จึงมีความจำเป็น
แสดงว่าภารกิจจากรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ยังคงดำรงอยู่